จึงเกิดการวาง


ถ้าเราเจริญสติถูกต้อง
จะเริ่มเห็นแล้วว่า
ความโกรธไม่ใช่เรา 
ความเกลียดไม่ใช่เรา
ความทุกข์ไม่ใช่เรา
ความปวดไม่ใช่เรา 
ความสุขก็ไม่ใช่เรา
ความดีใจก็ไม่ใช่เรา
จะเห็นได้เลยนะว่า
อารมณ์พวกนี้ไม่ใช่เรา
แล้วพอเราเห็นพวกนี้ว่าไม่ใช่เรา
ใจจึงไม่เข้าไปยึดไง
จึงเกิดการวาง 
ระยะห่างอันนี้ 
เราเรียกว่า  เห็นด้วย สติ 
ซึ่งเป็นพื้นฐานของ
การทำกรรมฐาน 
เรียกว่า วิปัสสนากรรมฐาน

พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล

Image by Michael_Fotofreund from pixabay

ที่มา  เพจมนษิธาร  Monsitharn

        (บ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา เดิม)


 

และนั่นคือนิพพาน


ผู้คนทนทุกข์เพราะติดอยู่กับความคิดของตัวเอง 
ทันทีที่เราปล่อยวางความคิดความเห็นเหล่านั้น 
เราก็เป็นอิสระและไม่ต้องทนทุกข์อีกต่อไป... 
เมื่อเธอหลุดพ้นจากความเห็น และคำพูดใดๆ
ความจริงก็เผยตัวออกมาให้เห็น 
และนั่นคือนิพพาน

People suffer because they are caught in their views. 
As soon as we release those views, we are free and we don’t suffer anymore… 
When you get free from views and words, reality reveals itself to you, 
and that is Nirvana.

ท่านติช นัท ฮันห์

Image by RelaxSphere from pixabay

ที่มา  เพจมนษิธาร  Monsitharn

        (บ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา เดิม)


 

สุข-ทุกข์.. ล้วนว่างเท่ากัน..


สุข-ทุกข์..
ล้วนว่างเท่ากัน.. 
และสุขก็ไม่ได้ดีไปกว่าทุกข์..
ส่วนทุกข์ก็ไม่ได้แย่เมื่อเทียบกับความสุข .
.ความอิสระไปจากสุข-ทุกข์คือเป้าหมายแท้จริง..
มิใช่การติดสุข

อิโตมิ จัง

Image by niki_emmert from pixabay

ที่มา  เพจมนษิธาร  Monsitharn

        (บ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา เดิม)



 

รู้อะไรขึ้นมา ในจิตก็ว่างๆๆ


ทําจิตให้ว่างให้หมด
ว่างจากความรู้สึกนึกคิด 
ทําจิตให้ตั้งมั่นในสุญญตสมาธิ
มีอนัตตาความว่างเป็นอารมณ์
สุญญตวิโมกข์หลุดพ้นด้วยความว่าง
จิตรับรู้อะไรขึ้นมาก็เตือนจิตว่าว่างๆๆ
ไม่ต้องไปรอ ไม่ต้องวิตกวิจาร
ไม่ต้องรอสังขารปรุงแต่ง

รู้อะไรขึ้นมา ในจิตก็ว่างๆๆ 
ต้องใช้ความว่างข่มมัน
หมายถึงว่าใช้ปากพูดไป เหมือนกับเราบ่นมันนันแน่ะ
ให้ว่างๆๆ เหมือนกับเราคนทั่วไปนั่นแหละ
อยู่เฉยๆ ใครมาบ่นให้เราฟังเราก็ไม่ชอบ
ฉะนั้นเมื่อมันโผล่ขึ้นมา เราก็บอกว่างๆๆ

ไอ้ความทีว่าเราพูดว่าว่างๆๆ ไปกระแทกใจมัน
มันก็อยู่ไม่ได้ มันก็รําคาญ มันก็ต้องออกไป
อารมณ์ทั้งหลายก็จะได้หมดไป สิ้นไป
เพราะฉะนั้น เราไม่ต้องไปห่วงใย
อาลัยอาวรณ์ใครทั้งหมด
ตายตอนนี้ ว่างเดี๋ยวนี้ ไปนิพพานเดี๋ยวนี้

พระอาจารย์นพพร อาทิจฺจวํโส

Image by FelixMittermeier from pixabay

ที่มา  เพจมนษิธาร  Monsitharn

        (บ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา เดิม)



 

ที่พึ่งแห่งจิตที่แท้จริง


จิตเป็นธาตุรู้ 
มีธรรมชาติรู้อารมณ์ 
สิ่งที่ถูกรู้ ไม่ใช่จิต
การอยู่กับผู้รู้ คือ 
ความรู้ตัวอยู่ เรียกว่า ผู้รู้
ความยินร้ายก็อยู่ที่จิต 
ความยินดีก็อยู่ที่จิต
ถ้ามีสติรู้ทันแล้ว
กิเลสจะเข้าครอบงำไม่ได้
.
ที่พึ่งแห่งจิตที่แท้จริง
คือใจที่ตื่นรู้อยู่ภายใน 
กับปัจจุบันขณะ
เรียนรู้สิ่งใดๆ ในโลก
ล้วนเป็นประโยชน์
แต่หามีประโยชน์ที่แท้จริง
เท่ากับการเรียนรู้กายและใจตนเอง
.
อารมณ์ภายนอกล้วนไม่เที่ยง
อารมณ์ภายในเสื่อมสลายทุกขณะดุจกัน
.
เราอาจจะคิดเรื่องความจริง...
แต่เราลืมความจริงว่าเรากำลังหลงคิด
.
สติจำเป็นในทุกที่ ในทุกเรื่อง 
กับทุกสิ่ง กับทุกอย่าง
เป็นธรรมะที่มีอุปการคุณมาก 
เพราะมันไม่ล่องลอย
ไม่ลืมใจ มันต้องมีที่ตั้ง 
.
ที่ตั้งของมัน คือกายและใจ
เมื่อใดที่เราคิดเบียดเบียน 
ปัญญาเราจะดับ
.
สมาธิมันเป็นกิริยาของจิต 
ไม่ใช่กิริยาของกาย
ร่างกายเป็นเพียงเครื่องมือ
ที่ใช้ในการสื่อสารกับโลกเท่านั้น
.
กายและใจเหมือนเหรียญสองด้าน
เมื่อไหร่เรารู้ที่กาย เราจะรู้ที่ใจด้วย
ทุกสิ่งไม่มีตัวตน
เพราะอาศัยสิ่งอื่นเกิดขึ้น
มีตัวกูขึ้นมาเมื่อไหร่บรรลัยเมื่อนั้น 
มีเราขึ้นมาเมื่อไหร่ บรรลัยเมื่อนั้น
.
เราชอบคิดเรื่องความจริง 
แต่ความจริง คือ กำลังหลงคิดอยู่
เราชอบปรุงแต่งเรื่องความรู้ 
แต่ไม่รู้ว่า กำลังปรุงแต่งอยู่
.
ไม่ไหลต่อเนื่องเป็นเรื่องราว
แต่รู้สึกเข้ามาตรงๆ 
ถึงความใสที่ไร้ตัวตน
ตามเห็นบ่อยๆ 
จะรู้ว่า...เกิด...ดับ...บังคับไม่ได้
.
พวกเราอย่าทิ้งสติ
ที่มีอยู่ในชีวิตประจำวัน
จากกายที่เคลื่อนไหว 
การรู้จักอิริยาบถใหญ่
รู้จักอิริยาบถย่อย 
เพื่อให้รู้จักสภาวะต่างๆ ของรูปธรรม
สักแต่ว่าอาศัยเป็นที่ตั้งแห่งรู้
เพื่อไม่เป็นที่อาศัยแห่งความไม่รู้
“ให้มีฉันทะในการปฏิบัติ
แต่อย่ามีตัณหาในผล”

“กวีธรรม”
พระอาจารย์อำนาจ โอภาโส

Image by congerdesign from pixabay

ที่มา  : เพจบ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา



 

เราต่อสู้ดิ้นรนเพื่อสิ่งที่เราไม่ได้นำมา


เราเกิดมาโดยไม่ได้นำสิ่งใดมาสู่โลกนี้ 
เราตายโดยไม่ได้เอาอะไรไปด้วย 
และสิ่งที่น่าเศร้าก็คือในช่วงเวลา
ระหว่างชีวิตกับความตาย 
เราต่อสู้ดิ้นรนเพื่อสิ่งที่เราไม่ได้นำมา
และสิ่งที่เราเอาไปด้วยไม่ได้

We are born without bringing anything into this world. 
We die without taking anything with us. 
And the sad thing is that in the interval between life and death, 
we fight for what we didn’t bring and what we cannot take. 

Unknown

Image by Mollyroselee from pixabay

อย่าให้ต้องเสียดาย...เราให้น้ำหนักกับสิ่งที่เอาไปได้
คือบุญกุศลความดี น้อยจนไม่น่าให้อภัยจริงๆ

ที่มา  : เพจบ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา