นักปฏิบัติบางคนยังไม่เข้าใจในความว่างของใจอยู่มาก ไปคิดเอาเองว่าความว่างคืออากาศว่าง หรือเข้าใจว่าความว่าง คือไม่มีวัตถุสิ่งของ และอีกอย่างหนึ่งว่างจะสมมติเช่นว่า เรามีบ้านอยู่ อาศัยสมมุติขึ้นมาว่าเป็นบ้านของเรา อยู่ต่อมาบ้านนั้นพังหรือถูกไฟเผาไปหมด เลยไม่มีบ้านอยู่ในที่ตรงนั้นอีก คำสมมุติว่าบ้านก็หายไป เลยกลายมาเป็นความว่างจากสมมุติ
.
อย่างนี้ก็พากันเข้าใจว่าตนรู้จักความว่าง หรือว่าเห็นความว่างแล้ว ความว่างแบบนี้เป็นความว่างที่มีอยู่ทั่วๆ ไปตามธรรมชาติอยู่แล้ว ใครๆ ก็รู้กันหมด แม้แต่เด็กๆ เขาก็รู้เรื่องความว่างแบบนี้มีอยู่ประจำโลก ไม่ใช่ความว่างของใจที่พวกเราแสวงหา มันยังไกลกันคนละมุมโลก
.
ความว่างของใจมันไม่ได้ว่างอยู่แบบนี้
.
มันว่างแบบสมบูรณ์ สมบูรณ์อยู่ครบ พร้อมด้วยสติปัญญาเต็มเปี่ยมอยู่ พร้อมทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน ไม่เผลอสติ ตามรู้อยู่ในปัจจุบันทุกขณะ
.
แต่ว่ารู้แล้วไม่ติด ไม่ยึด ไม่ถือเอาสิ่งที่รู้เข้ามาเป็นอารมณ์ของใจ รู้แล้วก็ปล่อยไปตามธรรมชาติ ไม่ให้จิตออกไปคิดปรุงแต่งให้เกิดเป็นสมมุติเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาอีกต่อไป ใจมันก็ว่างจากอารมณ์ ว่างจากการปรุงแต่ง ใจอยู่ในปกติเดิมตามธรรมชาติของใจแท้ไม่แปรผัน อย่างนี้จึงเป็นความว่างของใจ ไม่ใช่ว่างแบบธรรมชาติของโลกอย่างอากาศว่าง หรือว่างแบบอยู่ในฌาน ว่างแบบอยู่ในฌานนั้นก็อีกแบบหนึ่ง คือยึดความว่างเป็นอารมณ์ จึงติดอยู่กับความว่าง
หลวงปู่คูณ สิริจันโท
Image by Leolo212 from pixabay
ที่มา : เพจบ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา