รู้ไม่ใช่เพื่อยินดียินร้าย...


รู้ไม่ใช่เพื่อยินดียินร้าย...
แค่ใครยึดประโยคนี้ประโยคเดียวเท่านั้นล่ะ 
เอาไปเตือนตัวเองไปแนะนำตัวเองอยู่เรื่อยๆ 
มันก็ไปแน่วเลย 
พออะไรมันขึ้นมาก็ไม่ยินดียินร้าย 
เท่ากับมันวางแล้ว มันวางปั๊บ
จิตมันจะตั้งมั่นเป็นสมาธิทันทีเลย 
ไปสู่ความว่างทันทีเลย
บ่อยเข้าๆ มันก็มีความว่าง
เป็นอารมณ์ทุกขณะไป 
แล้วไม่เอามันมาหลอกทั้งนั้นล่ะ 
เรื่องกิจกรรมทั้งหลายในโลกนี้ 
เรื่องรูปกระทบตา เสียงกระทบหู
กลิ่นกระทบจมูก รสกระทบลิ้น
เย็น ร้อน อ่อน แข็งกระทบกาย 
แม้แต่ธรรมารมณ์คิดนึก
ไม่สําคัญหมายไปตามสมมติกระทบใจ 
มันมาหลอกทั้งนั้นเลย หลอกให้เราไปยุ่งกับมัน
ไปหลงกับมัน ไม่ทันมัน...

พระอาจารย์วิชัย กัมมสุทโธ

Image by Leolo212 from pixabay

ที่มา  : เพจบ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา


 

มันไม่ใช่จิตฟุ้งซ่าน


ความจริงนี่ 
ถ้าหากว่าความคิดเกิดขึ้น 
เรายินดี ยินร้าย พอใจ ไม่พอใจ 
มันก็เป็นจิตฟุ้งซ่าน 
แต่ถ้ามันสักแต่ว่า...คิด 
คิดแล้วทิ้งไปๆ มันไม่ใช่จิตฟุ้งซ่าน  
ถึงแม้ว่า มันจะฟุ้งซ่านก็ตาม 
ไม่ฟุ้งซ่านก็ตาม...
ถ้าเรามัวแต่ห้ามจิตไม่ให้คิด 
ให้นิ่งอยู่เฉยๆ 
มันไม่มีอารมณ์สิ่งรู้  
ก็ไม่มีอะไรเป็นเครื่องหมาย
ให้เรากำหนดรู้ว่า...
อะไรไม่เที่ยง  เป็นทุกข์  เป็นอนัตตา

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย 

Image by Leolo212 from pixabay

ที่มา  : เพจบ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา