ใจเอามาทําวิปัสสนาซะสิ


วิปัสสนาเป็นการงานทางใจ
วิปัสสนามันต้องละ
ทํามาหากินมันต้องแบกหาบ ยึด สะสม
มาทําวิปัสสนามันต้องละ
โยมแบกหาบให้แบกหาบที่กาย
ส่วนใจเอามาทําวิปัสสนาซะสิ
ใจตัดให้หมดเลยที่ใจน่ะ
ร่างกายก็เป็นพ่อเป็นแม่
เป็นผัวเป็นเมียตามหน้าที่
ถึงเวลากินข้าวกินน้ำขี้เยี่ยว ให้มันตามหน้าที่
แต่ใจตัดให้หมดเลย
เพิกมายาให้หมดเลย
เราไม่เป็นอะไรกับใคร
ใครไม่เป็นอะไรกับเรา
ข้ามาคนเดียวข้าไปคนเดียว

พระอาจารย์ชุมพล พลปญฺโญ

Image by NikolasV from pixabay

ที่มา  : เพจบ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา


                                      


 

การปฏิบัติธรรมนั้นเพื่อ


การปฏิบัติธรรมนั้น ไม่ใช่เป็นการปฏิบัติ 
เพื่อจะเห็นอะไร และจะให้ได้อะไร
แต่มันเป็นไป เพื่อที่จะให้จิตใจของเรานี้ 
รู้ธรรม เข้าใจธรรม และออกจากทุกข์ 
มันเป็นเรื่องจิตใจของตนเอง 
ซึ่งภาษาธรรมเรียกว่า ปัตจัตตังวิญญูหิติ คือ
.
๑. อยู่กับกิเลสได้ โดยจิตใจไม่เป็นทาสของกิเลส
๒. กายนี้อยู่กับทุกข์ 
โดยที่ใจนี้ไม่เป็นทุกข์
๓. กายนี้อยู่กับงานที่วุ่นวาย 
โดยที่จิตใจไม่วุ่นวายไปกับงาน
.
๔. จิตใจที่รีบเร่งด่วน 
แต่จิตใจยังเฉยๆ สบายๆ
๕. กายนี้อยู่กับความสมหวัง 
อยู่กับความผิดหวัง โดยที่จิตใจไม่เป็นทุกข์
.
๖. กายนี้อยู่กับโลก ด้วยจิตใจที่เป็นธรรม 
กายส่วนกาย จิตส่วนจิต 
โดยอาศัยกันและกัน โดยไม่เกี่ยวข้องกัน
๗. กายนี้อยู่กับหน้าที่ โดยไม่ยึดติด 
เพียงแต่ทำหน้าที่นั้นๆ ทำให้ดีที่สุด 
เท่าที่ตนเองจะทำได้
๘. ให้ตนเอง ทำหน้าที่ 
อยู่แต่ปัจจุบันให้ดีที่สุด

หลวงปู่บัวเกตุ ปทุมสิโร

Image by Darkmoon_Art from pixabay

ที่มา  : เพจบ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา



 

ที่ตรงไหนก็ร่มเย็นทั้งนั้น


ถ้าเรายังเผลอโกรธคนชั่วอยู่นะ
เรายังภาวนาไม่ดีหรอก
ถ้าเราหลงเคารพบูชาคนดี หรือสิ่งดี 
ในฐานะของวิเศษ 
เราก็ยังไม่เข้าใจธรรมะ ... 
ฝึกตัวเอง พัฒนาตัวเอง
ให้ถึงจุดที่เราไม่ได้อะไรมา 
และไม่ได้เสียอะไรไป 
นอกจากได้สัมมาทิฏฐิมา 
เสียมิจฉาทิฏฐิไป 
เมื่อเราอยู่กับ "ความเห็นถูก" 
ที่ตรงไหนก็ร่มเย็นทั้งนั้น ... 

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช

Image by pen_ash from pixabay

ที่มา  : เพจบ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา



 

การสลัดอารมณ์สำคัญมาก


คนที่อาลัยอาวรณ์
ในอารมณ์ใดก็ตาม 
ไม่รู้จักสลัดทิ้ง 
คือเพลิน คือนันทิ
ต้องตัดทิ้ง ตัดสุขได้ 
จะทำให้สลัดทุกข์ได้
ถ้ายังมีการอาลัยอาวรณ์
ในอารมณ์ใด
แสดงว่ายังให้อารมณ์
มีที่อาศัย มีเยื่อใย
ดังนั้นการสลัดอารมณ์สำคัญมาก
เราต้องไม่เยื่อใย ไม่อาลัยอาวรณ์
ไม่ว่า สุข หรือทุกข์

พระอาจารย์ครรชิต อกิญจโน

Image by Alexas_Fotos from pixabay

ที่มา  : เพจบ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา


 

บุญเก่าที่เคยทำจะตามมาประกบ


พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า...
บุคคลที่มองโลกในแง่บวก 
คือ..ผู้ที่มีจิตเป็นกุศล
ผู้มีจิตเป็นกุศล 
บุญเก่าที่เคยทำจะตามมาประกบ 
และส่งผลให้ต่อเนื่องอยู่เสมอ..
แต่บุคคลที่คิดลบจะไปดึงเอา
กรรมเก่าเก่าที่เคยทำมา 
ตามประกบทำให้ชีวิต..
อยู่อย่างแบบ..คนใช้หนี้กรรม..

อิโตมิ จัง

Image by Pexels from pixabay

ที่มา  : เพจบ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา


 

การแผ่เมตตาเพียงแค่ระยะเวลาเท่าช่วงน้ำนมหยด


พระพุทธองค์ตรัสว่า
“การแผ่เมตตามีอานิสงส์
มากกว่าถวายข้าววันละ ๓๐๐ หม้อ”
เมตตาทำให้จิตสงบ
.
การแผ่เมตตาเพียงแค่ระยะเวลาเท่าช่วงน้ำนมหยด
มีอานิสงส์มากกว่า
การถวายทานด้วยข้าวถึง ๓๐๐ หม้อเสียอีก
จึงควรเจริญเมตตาให้มาก ทำให้ยิ่ง
เข้าถึงเมตตาเจโตวิมุตติ..
.
หน้าตาจะผ่องใส สมาธิจะตั้งมั่นได้เร็ว
ไม่หลงทำกรรม ไม่หลงตาย
เมื่อตายแล้วก็จะไปสู่พรหมโลก
อานิสงส์ของเมตตามีมาก
ถ้าเรามีจิตเมตตา เราจะมีความสุข
.
เมื่อจิตของเรามีเมตตา ใจของเราก็จะเย็น
แม้ว่าคนอื่นจะร้อนมากระทบ
จิตของเขาก็จะพลอยลดความร้อนลง
ใจที่ขัดเคืองมา โกรธขึ้นมา
เมื่อมาพบกับเราที่จิตใจเย็นด้วยเมตตา
เขาก็จะพลอยเย็นไปด้วย
ต่อๆ ไปใจของเขาก็จะเริ่มยอมรับ
.
การแผ่เมตตานั้น ต้องแผ่กันเป็นประจำ
ตื่นขึ้นมานึกขึ้นได้ ก็ว่า
“ขอให้สัตว์ทั้งหลาย
จงเป็นสุข เป็นสุขเถิด”
.
อยู่ที่ไหนพอนึกขึ้นได้ก็แผ่
แผ่บ่อยๆ จิตเราก็จะเกิดเมตตาจริงๆ
พอจิตมีเมตตาจริง
จิตจะอิ่มเอิบ เบิกบาน
หน้าตาก็จะผ่องใส
เมื่อใจอิ่มปากก็จะยิ้มด้วย
.
ในขณะที่จิตแผ่เมตตา
นึกถึงสัตว์ทั้งหลาย
“ขอให้สัตว์ทั้งหลายจงมีความสุข”
แผ่ไปๆ ขณะที่แผ่เมตตานั้น เป็นสมถะ
ทำให้จิตสงบได้
แต่ในขณะที่แผ่ จิตก็กลับมารู้สภาวะในจิต
พบว่าจิตมีความอิ่มเอิบ มีปิติ
มีความปรารถนาดี
นี่คือ รู้สภาวะปรมัตถ์
เดี๋ยวก็แผ่เมตตาไป
เดี๋ยวก็มารู้สภาวปรมัตถ์
รู้สลับไปมาอย่างนี้ก็ได้..

พระอาจารย์สุรศักดิ์ เขมรังสี

Image by Pexels from pixabay

ที่มา  : เพจบ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา


 

ต้องแผ่เมตตาตนเสียก่อน


ถ้าหากว่านิสัยของเราชอบโกรธง่าย 
เราก็ต้องแผ่เมตตาตนเสียก่อน 
ตนไม่ชอบทุกข์ สัตว์ทั้งหลายก็ไม่ชอบทุกข์ 
แผ่เมตตาตน อะหัง สุขิโต โหมิ นั่น 
ขอเราจงเป็นสุข 
อย่ามีเวรมีภัยกับสิ่งอันใดในไตรโลกธาตุ...
ถ้าเราไม่แผ่เมตตาเอาตนเป็นพยานก่อน 
มันก็เป็นพายเรือโต้น้ำ 
มันไม่ค่อยอยากไป ไม่สนิท

หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต

Image by Mammiya from pixabay

ที่มา  : เพจบ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา


 

ไม่มี “ใคร” ต้อง “เป็น” อะไร


ในเมื่อไม่มีเรา แล้วเราจะปฏิบัติธรรมไปทำไม?
ปฏิบัติเพื่อให้พ้นทุกข์ ถ้าไม่มี “เรา” แล้วอะไรพ้นทุกข์?
#ปฏิบัติเพื่อพาจิตให้เห็นความจริง
ที่ต้องปฏิบัติเพราะอุปาทานมันยึดถือครอบครองอยู่
เอา “เรา” ที่เราคิดว่าเป็นเรานี่แหละ 
พาจิตให้เห็นความจริงว่า 
ทุกอย่างเป็นเพียงกระบวนการการทำงานของธรรมชาติ 
ไม่เป็นไปตามอำนาจความอยากของเราเลย
ปัญญาจะเกิดขึ้นมาว่า ไม่มี “ใคร” ต้อง “เป็น” อะไร
.
ความรู้สึกว่า “มีเรา” เกิดขึ้นเมื่ออุปาทานครอบงำอยู่ชั่วขณะหนึ่งนั้นเอง
ภาวะนี้คือการหลุดพ้น คือหลุดพ้นจากอุปาทาน (การยึดถือ)
ไม่ได้หลุดพ้นจากตัวตน เพราะตัวตนไม่เคยมีอยู่จริงๆ
.
หนทางมีอยู่แต่ผู้เดินทางไม่มี
มรรคนิพพานมีอยู่ แต่ผู้บรรลุมรรคผลนิพพานไม่มี

พระอาจารย์มหาวิเชียร ชินวังโส

Image by jplenio from pixabay

ที่มา  : เพจบ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา


 

อย่าประยุกต์ สิ่งทั้งผอง เป็น "ของฉัน"


ถ้าจะอยู่  ในโลกนี้  อย่างมีสุข
อย่าประยุกต์  สิ่งทั้งผอง  เป็น "ของฉัน"
มันจะสุม  เผากระบาล  ท่านเป็นควัน
ต้องปล่อยมัน  เป็นของมัน,  อย่าผันมา-
.
เป็นของกู  ในอำนาจ  แห่งตัวกู
ท่านจะอยู่  วุ่นวาย  คล้ายคนบ้า
อย่างน้อยก็  เป็นนกเขา  เข้าตำรา
มันคึกว่า  "กูของกู"  อยู่ร่ำไป ฯ
.
ท่านหามา,  มีไว้,  ใช้หรือกิน
ตามระบิล,  อิ่มหนำ  ก็ทำไหว
โดยไม่ต้อง  มั่นหมาย  ให้อะไร ๆ
ถูกยึดไว้  ว่า "ตัวกู"  หรือ "ของกู" ฯ.

ท่านพุทธทาสภิกขุ

Image by Darkmoon_Art from pixabay

ที่มา  : เพจบ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา


 

อย่าเป็นอะไรเลย สบาย


อย่าเป็นอะไรเลย สบาย 
ความสบายอยู่ตรงที่เราไม่ต้องเป็นอะไร 
เราไม่ต้องเอาอะไร 
ภาวนาจนไม่มีความรู้สึกว่าได้กำไร
หรือขาดทุนจากการปฏิบัติ 
มีความรู้สึกราบรื่น 
สิ่งภายนอกขึ้นๆ ลงๆ 
แต่เราก็ไม่ขึ้นๆ ลงๆ ตาม 
เราอยู่ด้วยความวางเฉยของผู้รู้เท่าทัน 
อาการแห่งความสุขก็มีอยู่ 
แต่มันอยู่ข้างนอกมันไม่ได้เข้าไปถึงใจของเรา

พระอาจารย์ชยสาโรภิกขุ

Image by Henryphoto from pixabay

ที่มา  : เพจบ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา

 

คือเห็นอะไรก็วางได้


เห็นอะไรก็เป็นธรรม.. 
คือเห็นอะไรก็วางได้..นั่นเรียกว่าธรรม 
ถ้าเห็นอะไรวางไม่ได้เรียกว่าอกุศล..อธรรม.. 
เห็นแล้วปล่อยวางได้ 
รู้เท่าทันความเป็นจริงของอารมณ์ของจิต 
ไม่ไปปรุงไม่ไปแต่งอะไรมัน 
เห็นตามความเป็นจริง เข้าใจมั้ยจ๊ะ 
เรียกว่าเห็นด้วยปัญญา 
เห็นด้วยอุเบกขา 
เค้าเรียกว่าดวงตาเห็นธรรม 
คืออะไรก็เป็นธรรมหมด..อย่างนี้ 
อะไรมันก็เป็นประโยชน์หมด ไม่ใช่เป็นโทษ..
ถ้าเรามีปัญญา

สมเด็จพระพุฒาจารย์ โต พรหมรังสี
จากเพจ ธรรมะมหัศจรรย์ ตามรอยธรรมสมเด็จโต 
สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี

Image from pixabay

ที่มา  : เพจบ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา


 

จงเจริญภาวนาให้หูตาสว่าง


จงเจริญภาวนาให้หูตาสว่าง
ได้ประทีปส่องทางจักษุไร้ฝุ่นผง
เห็นทุกข์เป็นธรรมชาติที่ต้องปลง
ถอนความลุ่มหลงรูปรสโลกีย์
.
ไม่มีธรรมไม่มีโลกไม่มีปุถุชน-อริยะ
ไม่มีเปตะติรัจฉาโนยักโขยักขี
รู้แจ้งกายจิตล้วนแต่สิ่งไม่มี
ตัวตนสิ่งนี้ก็ปัจจัยปรุงมา
.
วางลงปลงได้เพราะใจรู้แจ้ง
สิ้นความเคลือบแคลงแหล่งเสาะแสวงหา
เอาทุกข์ทิ้งไปเก็บใจคืนมา
สมมติหยุดแสวงหา
วิมุตติกลับมาอุบัติสมบัติแท้

หลวงตาสุริยา วัดป่าโสมพนัส

Image by Rattakarn_ from pixabay

ที่มา  : เพจบ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา


 

มีแต่เพิ่มกิเลสให้เรา


นักปฏิบัติที่ไม่รู้ไม่เห็นอะไร 
รวบรัดตัดตรงเข้าหามรรคหาผลเลย
ถือว่าโชคดีที่สุด ไม่เสียเวลา 
ส่วนท่านที่รู้มากก็ยากนาน 
คำว่ายากนาน 
บางคนโดนพารู้เตลิดเปิดเปิงไป
เวลาญาณเครื่องรู้เกิดขึ้น รู้ทุกเรื่อง 
อย่างที่บอก...ขนาดสร้างยานอวกาศไปนอกโลกก็ยังได้ 
เพียงแต่ว่าหากว่าเราสังเกตจะเห็นว่า 
ทุกอย่างที่เราคิดจะมีเหตุมีผล 
สามารถอธิบายได้ทั้งวิชาการ 
ทั้งวิทยาศาสตร์ ทั้งทางธรรม 
แต่เรื่องที่รู้ไม่มีอะไรช่วยให้เราหมดกิเลสเลย 
ถ้าไม่สังเกตตรงนี้ก็จะโดนหลอกไปเรื่อย ๆ
.
กิเลสเขาเก่ง 
เขาจะหลอกให้เราภูมิใจ 
ว่าเราเข้าใจ เรารู้เห็น 
เราเข้าถึง และเราก็ลืมพิจารณาว่า
เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ไม่ได้ช่วยตัดกิเลส
มีแต่เพิ่มกิเลสให้เรา

หลวงพี่เล็ก สุธมฺปญฺโญ

Image by Rattakarn_ from pixabay

ที่มา  : เพจบ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา



 

สมมุติ บัง นิพพาน


วัดเป็นเพียงที่พักแก่ภิกษุ ภิกษุคือผู้เห็นภัยในสังสารวัฏ
เป็นการเห็นภัยของการเวียนว่ายตายเกิด ซึ่งเต็มไปด้วยทุกข์
.
พุทธะ ไม่ได้อยู่ที่วัด และไม่ได้อยู่ที่พระพุทธรูป
ต่อให้สร้างใหญ่โต สวยงาม ยิ่งใหญ่
ยิ่งไกลห่างสัจธรรม
.
เพราะจะไปดูแต่ความสวยงาม ใหญ่โต แต่ก็ไม่ได้อะไรเลย
ยิ่งสร้างกิเลสตัณหา ทั้งพระและโยม
.
จะสร้างวัดให้สวยงามใหญ่โตแข่งกัน
อยากได้บุญ วาสนาบารมี ได้ยอดกฐินมากกว่ากัน
ทำ ทำบุญกัน แต่ก็ไม่ได้บุญ กลับได้บาปแทน
.
พุทธะ สอนให้เหนือจากบุญและบาป
ทั้งบุญและบาป ก็มาจากเราปรุงแต่งขึ้น
พยายามทำบุญติดแค่บุญ
ก็ติดอยู่แค่ 31 ภพภูมิ
แต่สิ่งที่เหนือกว่านั้น ไม่มีใครรู้หรือสนใจเลย
.
บางทีบุญ วาสนา บารมี ความสวยงาม ก็เป็นสิ่งที่ดี
แต่ก็ขวางกั้นความหลุดพ้นหรือนิพพาน
บางทีเราสร้างสมมุติหรือหลงสมมุติว่าจริง
สิ่งเหล่านี้จึงบังสัจธรรม
สมมุติ บัง นิพพาน
..........................

"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าแม้ว่าภิกษุจับชายสังฆาฏิตามหลัง ย่างเท้าตามทุกก้าว ภิกษุนั้น ก็ยังอยู่ไกลเราโดยแท้ และเราก็อยู่ไกลภิกษุนั้น ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะภิกษุนั้นไม่เห็นธรรม ผู้ไม่เห็นธรรม ย่อมไม่เห็นเรา"
.
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าแม้ว่าภิกษุนั้น อยู่ไกลตั้งร้อยโยชน์ ภิกษุนั้นย่อมชื่อว่าอยู่ใกล้เราโดยแท้ และเราก็อยู่ใกล้ภิกษุนั้น ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะภิกษุนั้นเห็นธรรม ผู้เห็นธรรม ย่อมเห็นเรา"

พระอาจารย์ปกรณ์นันทน์ ฐิตธัมโม

Image by naidokdin from pixabay

ที่มา  : เพจบ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา


 

ไม่ศึกษาและปฏิบัติธรรม คือไม่สนใจธรรมชาติของตัวเอง


อะไรๆ ก็เหมือนกัน
ไม่ดู..ก็ไม่เห็น ไม่เห็น..ก็ไม่เข้าใจ
เราไม่ยอมมองด้านใน..ก็ไม่เห็นตัวเอง
ไม่เห็นก็ไม่เข้าใจ
.
คนจำนวนไม่น้อย
จึงชอบพูดว่า เขาไม่เห็นว่าศาสนา
มีความจำเป็นอะไรแก่ชีวิต
เขามีความสุขพอสมควรแล้ว
ไม่มีปัญหาอะไรนักหนา และ
ไม่เคยสร้างความเดือดร้อนแก่ใคร
(พอกล่าวคำนี้ ผู้ใกล้ชิดมักจะต้องอมยิ้ม
หรือส่ายหัวนิดๆ)
.
คนที่มองอย่างนี้
มักขอให้หาความสุขแบบชาวบ้านก่อน
คือเขามองธรรมะเหมือนยาสมุนไพรขมๆ
ที่ควรเอาไว้ในอนาคตโน้น
ตอนจวนหมดบุญ รักษาทางอื่นไม่ได้ผล
ไม่มีทางเลือกแล้วจึงค่อยลอง
.
นี่คือความประมาท ทำไม เพราะมองไม่เห็น
เนื้อร้ายที่เกิดที่หัวใจเสียแล้ว
ซึ่งธรรมะเท่านั้นที่ขจัดได้
เป็นความคิดที่เกิดจากการไม่มองด้านใน
ไม่ดูก็ไม่เห็นปัญหาที่ซ่อนเร้นอยู่แล้ว
และคอยบั่นทอนคุณภาพชีวิตตลอดเวลา
.
ความยึดติดเกิดที่ไหน
ความเครียดและความกลัวเกิดที่นั่น
ผู้อยู่ในโลกแต่ไม่รู้เท่าทันโลก
ไม่ศึกษาและปฏิบัติธรรม
คือไม่สนใจธรรมชาติของตัวเอง
ไม่สนใจธรรมชาติของตัวเอง
ย่อมเป็นเหยื่อของมันอยู่เรื่อย อย่างเช่น
กลัวความตาย เป็นต้น และกลัวการ
พลัดพรากจากสิ่งที่ให้ความสุขแก่ชีวิต
พระอาจารย์ชยสาโรภิกขุ

Image by dangquangn from pixabay

ที่มา  : เพจบ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา


 

เรามีหน้าที่จุดไฟขึ้นมา


เราไม่ได้มีหน้าที่ไปไล่ความมืด 
ความมืดไล่ไม่ได้ 
“เรามีหน้าที่จุดไฟขึ้นมา” 
จุดไฟนี้หมายความว่า 
การเห็นความเป็นปกติในจิตนี้แหละ
การเห็นจิตที่มีสภาพ
พ้นไปจากความปรุงแต่ง 
อันนี้เรียกว่าความปกติ

Camouflage

Image by Pexels from pixabay

ที่มา  : เพจบ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา


 

นี่คือ เส้นทางของพระพุทธเจ้า


วิธีการของพระพุทธเจ้า
ไม่ใช่สอนเราให้หนีการกระทบอารมณ์
มีตาก็ดู มีหูก็ฟัง
มีจมูกก็ดมกลิ่น มีลิ้นก็รู้รส
มีกายก็รู้สัมผัสทางกาย
มีใจก็คิดนึกปรุงแต่ง...ห้ามไม่ได้
แต่เมื่อมันกระทบอารมณ์แล้วนะ
เกิดสุขให้ “รู้” เกิดทุกข์ให้ “รู้”
เกิดกุศล-อกุศลให้ “รู้” ไป
แล้วเราจะเห็นว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้น...ดับทั้งสิ้น
ที่พระพุทธเจ้าสอนเนี่ยมุ่งมาตรงนี้
.
ไม่ใช่มุ่งปรุงแต่งจิตให้ว่างๆ ไม่ได้มุ่งปรุงดี
แต่มุ่งให้จิตได้เรียนรู้ว่า
“สิ่งใดเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นดับเป็นธรรมดา” 
ที่ปัญจวัคคีย์ได้ยินธรรมจักรก็เข้าใจธรรมะขึ้นมาว่า
สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นดับเป็นธรรมดา
นี่คือ เส้นทางของพระพุทธเจ้า

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช

Image by yyryyr1030 from pixabay

ที่มา  : เพจบ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา


 

ถ้าวางอารมณ์ไม่ได้ก็วางทุกข์ไม่ได้นั่นเอง


ดับทุกข์ได้ก็คือดับอารมณ์  
เคยได้ยินคำนี้บ้างไหม  
อย่าไปคล้อยตามอารมณ์
ความรู้สึกดีใจ เสียใจ โกรธ โมโห  
หึงหวง ห่วงใย อาลัยอาวรณ์  
อารมณ์ที่เป็นความรู้สึกหลอกหลอนใจ
ให้คล้อยตามต่างๆ นานา 
ไม่ใช่ไม่มีอารมณ์ คนเรามีกันได้
แต่ทำอย่างไรจึงรู้เท่าทันและวางได้ 
ถ้าวางอารมณ์ไม่ได้ก็วางทุกข์ไม่ได้นั่นเอง

พระอาจารย์นพพร อาทิจฺจวํโส

Image by jplenio from pixabay 

ที่มา  : เพจบ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา


 

ต่อเมื่อเราเห็นความจริง


เราจะไม่มีวันพบกับความสุขที่แท้จริงได้เลย    ต่อเมื่อเราเห็นความจริงว่าไม่มีอะไรที่เที่ยงแท้หรือมั่นคงอย่างแท้จริงเลย เราจึงจะพบกับความสงบเย็น เพราะจิตไม่ลุ่มหลงยึดติดกับสิ่งใด ๆ อีกต่อไป  ไม่ว่ามีอะไร ก็รู้ว่าสักวันหนึ่งมันย่อม “หมด” ไป  ดังนั้นเมื่อวันนั้นมาถึง จึงไม่ทุกข์ ไม่เศร้าโศก เสียใจ หรือโกรธแค้น จิตใจยังคงเป็นปกติ มั่นคง ไม่หวั่นไหว
.
โลกและชีวิตนี้เต็มไปด้วยความผันผวนแปรปรวน  เมื่อใดเราเปิดใจยอมรับและเห็นความจริงดังกล่าว ไม่ยึดหรืออยากให้ทุกอย่างเที่ยงแท้มั่นคงหรือเป็นไปตามใจเรา   ความผันผวนนั้นจะไม่อาจทำให้เราทุกข์ได้ต่อไป   ถ้าไม่อยากทุกข์ใจเพราะความผันผวนดังกล่าว ก็ควรพากเพียรสั่งสมความดีและฝึกใจให้เห็นความจริงดังกล่าว  อย่ามัวแต่แสวงหาเงินทองหรือสะสมวัตถุจนมองข้ามสิ่งที่สำคัญและประเสริฐกว่าไปเลย

พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล

Image by jplenio from pixabay 

ที่มา  : เพจบ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา


 

ความเป็นอริยะในความหมายแท้จริง


ความเป็นอริยะในความหมายแท้จริง
คือการกลับไปเป็นธรรมดา ไม่ปรุงแต่ง
"หายบ้า"
.
อาจนิยามใช้คำว่า อริยะ
 แต่จริงๆ แล้วก็คือหายบ้า เท่านั้น 
ไม่หลงในความเป็นมนุษย์ 
ไม่หลงเป็นเทพเป็นมาร 
ไม่หลงเป็นมนุษย์ต่างดาว 
ไม่หลงเป็น ก็ไม่เป็นอะไรๆ
.
ไม่เกิด-ไม่ดับอีกแล้ว เกิดใหม่บ่อยๆ มันทรมาน 
แม้แต่จะเกิดใหม่ในทางภูมิจิตก็เถิด
ไม่เวียนว่ายทั้ง ทางอายตนะ และทางภพชาติ 
คือ ปล่อยให้มันเกิดและดับไปเอง
เราไม่ใช่อะไรเลย หมดภาระ เลย
แต่ละขณะ ผ่านทุกขณะ ธรรมชาติจัดสรร
สิ่งที่ละเอียดและเป็นทิพย์ให้เองๆ ไม่ร้องขอ
หรือปั้นเอา หรือนึกเอาเอง
.
ชีวิตที่ไม่หลอกลวงตัวเอง และไม่หลอกผู้อื่น
ชีวิตแบบนี้ เรียกได้ว่าเป็น ไม่เกิดไม่ดับ นิรันดร์
ชีวิตที่เรียกได้ว่าหยุดหรือ ยอมได้ ผ่านไปเองได้
.
เมื่อหายบ้า ก็มาทำทุกหน้าที่ในโลกนี้อย่างสมบูรณ์
ธรรมดา ธรรมชาติ ไม่ได้หลุดไปโลกอื่น
โลกไหนอย่างที่จินตนาการกันเลย  
ตัวเธอกายใจจิตเธอทั้งหลาย
ล้วนมาจากธรรมชาติ 
ย่อมคืนสู่ธรรมชาติในกาลเวลา 
แค่ไม่เอาความหมายอะไรใส่ลงไป 
ไม่เพิ่ม
.
พระอาจารย์ปกรณ์นันทน์ ฐิตธัมโม

Image by fotomacher_ch from pixabay

ที่มา  : เพจบ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา


 

ศานติสุขของพระพุทธเจ้า


จงพยายามมีสติ
และปล่อยวางทุกสิ่งให้เป็นไปตามปกติของมัน
แล้วจิตของท่าน... 
ก็จะสงบมากขึ้น ใน...สิ่งแวดล้อมทั้งปวง
มันจะสงบนิ่ง...
เหมือนหนองน้ำใสในป่า
ที่บรรดาสัตว์ป่าสวยงาม และหายาก
จะมาดื่มน้ำในสระนั้น
ท่านจะเห็นความมหัศจรรย์ 
และแปลกประหลาดทั้งหลาย
เกิดขึ้น และดับไป
ปัญหาทั้งหลายจะบังเกิดขึ้น
แต่ท่าน...
จะรู้ทัน  มันได้ทันที 
นี่แหละ! คือ...
ศานติสุข ของ...พระพุทธเจ้า

หลวงปู่ชา  สุภัทโท 

Image by balaramadasa108 from pixabay

ที่มา  : เพจบ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา


 

ความดีที่แท้จริง


ความดีที่แท้จริง 
ไม่มีการชนะหรือแพ้ อะไรเลย 
นั่นเพราะ ผลของความดี 
คือ ทำแล้ว ก็โปร่ง โล่ง สบาย 
ไม่เป็นอะไร ไม่มีอะไร 
ไม่ได้อะไร แล้วก็ไม่เสียอะไร

การเดินทาง แห่งจิตวิญญาณ

Image by manseok_Kim from pixabay

ที่มา  : เพจบ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา