จิตดวงที่มีความรัก ย่อมมีความกลัว ความโศก



สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง
จิตดวงที่มีความรักย่อมคัดค้านความไม่เที่ยง
สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์
จิตดวงที่มีความรักย่อมคัดค้านความเป็นทุกข์
สังขารทั้งปวงเป็นอนัตตา...
จิตดวงที่มีความรักย่อมคัดค้านความเป็นอนัตตา
จิตดวงที่มีความรัก 
ย่อมกลัวการปรากฏขึ้นของความจริง
จิตดวงที่มีความรัก 
เมื่อความจริงปรากฏขึ้น ย่อมมีโศก
จิตดวงที่ไม่ยอมรับความจริง
ย่อมมีความกลัว ย่อมมีความโศก

พระอาจารย์ชุมพล พลปญฺโญ

จิตสงบ ตัวรู้เกิด



สติแก่กล้า จิตย่อมทนไม่ได้ 
เมื่อทนไม่ได้ ก็สงบลง 
ครั้นสงบลงแล้ว
มันก็ "รู้"

หลวงปู่ขาว อนาลโย

ที่เห็นว่าชีวิตมีสุข...เพราะหลงอารมณ์



          ความเห็นผิดประการต่อมาคือ เห็นว่าชีวิตนี้เป็นสุขหรือสุขขัง แท้จริงแล้วความสุขจริงๆ ไม่มี มีแต่ความทุกข์ ที่เราเห็นว่าเป็นสุขเพราะหลงในอารมณ์ กล่าวคือ เมื่อยินดีพอใจในสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็หลงว่าเป็นความสุข แท้จริงแล้วมีความทุกข์อยู่ในสิ่งนั้น เช่น สตรีอยากมีลูก เมื่อตั้งครรภ์ก็ยินดีมีความสุข เมื่อคลอดลูกออกมาก็ยิ่งดีใจมีความสุข การตั้งครรภ์และการคลอดลูกเป็นความทุกข์ เป็นความเจ็บปวดของร่างกายอย่างสาหัส แต่ความยินดีอยากได้ลูกบดบังความทุกข์เอาไว้โดยสิ้นเชิง

                                                                                         พระอาจารย์ชาญชัย อธิปญฺโญ

ความชิงชัง ใจแคบ เห็นแก่ตัว คือปัญหา



           เมื่อพระเยซูถูกตรึงไว้บนไม้กางเขน  เราจะเห็นได้ชัดเจนถึงตัวอย่างของคนที่กำลังเจ็บปวดอย่างทารุณที่สุดต่อหน้าฝูงชน  กระนั้นก็ดี  พระเยซูไม่ได้โทษใครเลย  กลับตรัสว่า “โปรดประทานอภัยให้แก่เขาเหล่านั้นด้วยเถิด เพราะเขาไม่รู้ว่าได้ทำอะไรลงไป” นี้เป็นสัญลักษณ์ของปัญญา  หมายความว่า ถึงแม้จะมีคนมาตรึงเราบนไม้กางเขน เฆี่ยนฆ่าเรา ดูหมิ่นเหยียดหยามทุกอย่าง  แต่ความชิงชัง ความใจแคบเห็นแก่ตัวนั้นต่างหากที่เป็นตัวปัญหา เป็นความทุกข์  ถ้าพระเยซูคริสต์ตรัสออกไปว่า “มันผู้ใดมาทำเรา มันผู้นั้นจงพินาศทุกคน” แล้วละก็  ท่านจะกลายเป็นอาชญากรคนหนึ่งไปด้วย  และอีกสองสามวันต่อมาคนก็จะลืมหมด 

                                                                                                            พระอาจารย์สุเมโธ 

ปัญญา กับ ศีล เป็นของคู่กัน



สมาธิเกิด แต่ไม่รักษาศีล 
ปัญญาไม่เกิด
"ปัญญา กับ ศีล เป็นของคู่กัน" 
พระพุทธเจ้า ตรัสไว้อย่างนั้น

หลวงปู่เจือ สุภโร