พระพุทธเจ้าให้ใช้สติตามดูจิต



ศีลของพระอริยเจ้ามีข้อเดียว นั่นคือการมีสติเป็นปรกติ
เพราะศีลหมายถึงการปฏิบัติตนด้วยความปรกติของจิต
ที่ประกอบไปด้วยสติแน่วแน่
ไม่หลงลืมหน้าหลังงัวเงียด้วยอวิชชา ดังพระพุทธเจ้าตรัสว่า
เธอจงตามดูจิตที่ไปไกลแสนไกล เธอจะพ้นบ่วงแห่งมาร
แล้วทรงให้ใช้อะไรตามดูจิตเล่า ก็สตินั่นแหละ ไม่ใช่อะไรอื่น

หลวงพ่อประสิทธิ์ ถาวโร

พยายามกำหนดจิต ให้อยู่ในร่างกาย




พยายามกำหนดจิต
ให้มันอยู่ในร่างกาย นี้คือฉันทะ
ความพอใจในการกำหนดรู้
อยู่ภายในร่างกาย 
นี้เป็นอีกวิธีที่ทำให้เราตื่น

หลวงพ่อวิชัย เขมิโย

อย่าให้จิตส่งออก ให้สติอยู่ที่ผู้รู้เท่านั้น



พูดตามปริยัติ “สติ” แปลว่าความระลึกได้ในกิจที่ได้กระทำ 
แม้คำพูดทั้งในอดีตและปัจจุบัน 
ในทางปฏิบัติ “สติ” แปลว่าระลึกอยู่ที่ใจ ไม่ให้รู้ไปตามสิ่งอื่น 
ถึงจะมีสัญญาอะไรก็ไม่ให้เคลื่อนไหวไปตามอาการนั้น 
กำหนดรู้นิ่งไว้อย่างนั้น ระลึกอยู่ที่ใจ 
ใจก็หมายถึงผู้รู้ .... ตามธรรมดาสติมักจะส่งไปภายนอก 
ชอบเล่นอารมณ์ สังขารที่ปรุงแต่งไม่ว่าจะคิดดี คิดร้าย คิดไม่ดี ไม่ร้าย 
เราจะต้องพยายามฝึกหัดละวางอารมณ์เหล่านี้ 
อย่าให้จิตส่งออกไปภายนอก ให้สติอยู่ที่ผู้รู้เท่านั้

หลวงปู่คำดี ปภาโส

บังคับทุกข์ให้ดับจะเป็นสมุทัย



ทุกข์เกิดขึ้นก็รู้ว่าทุกข์เกิดขึ้น 
ทุกข์ตั้งอยู่ก็รู้ว่าทุกข์ตั้งอยู่ 
มันจะดับหรือไม่ดับ ไม่ได้ไปบังคับมัน 
ถ้าไปบังคับก็กลายเป็นสมุทัย 
ให้ทุกข์โผล่มามากขึ้น 

ทุกข์ที่มีอยู่จะทุกข์มากขึ้น 
ทุกข์จะดับเมื่อไร มันก็ดับของมันเอง 
ขนาดเมื่อเกิดมันก็ยังเกิดของมันเอง มันตั้งอยู่เอง 
เราจะบังคับให้มันดับ มันก็ไม่ดับถ้าไม่ถึงกาลเวลา


หลวงพ่อคำสด อรุโณ