"ปัญญาที่แท้จริง"
ก็คือรู้ว่ามันไม่มีอะไรเป็นเราจริง
เป็นเราโดยสมมติ
"กาย" ก็มาจากธรรมชาติ ดิน น้ำ ลม ไฟ
ธาตุดินน้ำลมไฟข้างในมันเกิดดับตลอดเวลา
.
"จิต" ก็เป็นธรรมชาติที่รู้อารมณ์
อารมณ์ทั้งหลายก็เป็นธรรมชาติ
ที่มาอาศัยจิตเกิดอาศัยจิตดับ
มีแต่เกิดดับนะเนี่ยมันยึดไม่ได้!
.
ใครอยากยึดก็ยึดไป...
เพราะความหลงมันพายึด
ถ้ารู้ว่าความหลงพายึด
ก็ทำตัวเองให้หายหลงเสีย
อย่าไปยึดมัน!
.
ร่างกาย.. รูป.. ก็ยึดไม่ได้
เซลล์ยิบย่อยขนาดไหนเล็กขนาดไหน
ก็เกิดดับตลอดเวลา มันยึดไม่ได้
แต่มันต้องเข้าไปเห็นด้วยญาณ
ไม่ใช่ความคิดนะ
ญาณเนี่ยเข้าไปเห็นด้วยตัวจิตเอง
พร้อมกับธรรมะที่มันห้อมล้อม
ทำให้มันมีข้อสรุปตัดสินแจ้งชัดลงไปว่า
ไม่ใช่ ไม่ใช่เราแน่นอน
.
ยิ่งถ้ามันไม่ยึดจิตเลย
ก็เท่ากับมันไม่ยึดทั้งกายไม่ยึดทั้งจิตแล้ว
มันก็ไม่ใช่ทั้งกายไม่ใช่ทั้งจิต
ไม่ใช่ทั้งผู้รู้และสิ่งถูกรู้
คือมันไม่มีอะไรเป็นเราได้เลย
.
ไม่ว่าดูรูปดูเวทนา...ก็เกิดดับอย่างรวดเร็ว
ดูสัญญา..ก็เกิดดับอย่างรวดเร็ว
สังขาร..เกิดดับอย่างรวดเร็ว
วิญญาณ..เกิดดับอย่างรวดเร็ว
แต่ด้วยอำนาจของอุปาทาน
มันดับไปแล้วมันยังนึกขึ้นมาใหม่
มันก็มีเวทนาใหม่ คิดปรุงแต่งขึ้นมาใหม่
วิญญาณใหม่ ของใหม่ทั้งนั้นแหละ
.
แต่เราไม่เห็น มันก็เป็นเราๆ
พอมันเกิดทุกขเวทนาก็เป็นเราทุกข์ แน่ะ
พอไม่เห็น.. จิตเราไม่ละเอียดพอ
ที่จะไปเห็นว่ามันเกิดดับ
มันก็เป็นเราสิ เป็นเรา..เราก็ทุกข์สิ
นี่ล่ะมันเป็นทุกข์ ท่านถึงว่า
เป็นทุกข์เพราะความหลง
ทุกข์เพราะอวิชชา
มันหลงยึดเอาสิ่งที่ไม่ใช่เรามาเป็นเรา
จริงๆ มันไม่มีอะไรเป็นเราเลย
มันเป็นธรรมชาติ!
.
.
พระอาจารย์ครรชิต สุทฺธิจิตฺโต
Image by artvizual from pixabay