Blogger's Note




           
           
            เมื่อประมาณเดือนพฤษภาคม 2555 ผู้เขียนได้ไปร่วมงานวิสาขบูชาที่เดอะมอลล์ โคราช และได้มีโอกาสรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงปู่ต้นบุญ วัดป่าทุ่งกุลาเฉลิมราช จ.ร้อยเอ็ด ท่านสอนว่า มนุษย์มีศักยภาพเป็นอริยชนได้เพียงเพราะ "ความเข้าใจ" เท่านั้นเอง โพธิญาณ ญาณอันเป็นเครื่องตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าเกิดในตัวเราได้ ถ้าสามารถเข้าใจในตัวตนของเรา ท่านเน้นว่า การปฏิบัติธรรมต้องเริ่มที่ "ความเข้าใจ" ในหลักการที่พระพุทธเจ้าสอนเสียก่อน คือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป การสวดมนต์ ทำสมาธิ เป็นเพียงหนึ่งในกระบวนการของการปฏิบัติธรรมเท่านั้น แต่ส่วนใหญ่ ...เรามาปฏิบัติกันโดยไม่ทำความเข้าใจในหลักการของพระพุทธเจ้า ดังนั้น ถึงสวดมนต์ นั่งสมาธิมาเป็น 10 ปี ก็ยังมืดเหมือนเดิม....

              คำสอนของท่านสะกิดใจอย่างมาก เพราะถ้าเราลองอ่านพระสูตรหลายๆ พระสูตรเช่น ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร, อาทิตตปริยายสูตร และอนัตตลักขณสูตร เราจะพบว่า ในตอนท้ายของพระสูตรเหล่านั้นจะมีเนื้อความอยู่ว่า เมื่อพระสาวกได้รับฟังพระธรรมเทศนาจากพระพุทธองค์แล้ว ท่านเหล่านั้นก็"เข้าใจ" และบังเกิดดวงตาเห็นธรรมในทันที....สำหรับผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายในปัจจุบัน แม้ศักยภาพและสภาพแวดล้อมต่างๆ ของเรา จะยังไม่เอื้ออำนวยให้เข้าใจในธรรม เข้าถึงธรรมได้ในทันทีเช่นเดียวกับท่าน แต่ผู้เขียนเชื่อว่า หลักธรรมของพระพุทธเจ้ า หากเรา "เข้าใจ" และมองเห็นในความเป็นจริงเหล่านั้น จนกลายเป็นทัศนคติของการใช้ชีวิต  เราก็จะมีภูมิคุ้มกันความทุกข์อยู่ในใจตนเอง เช่น เมื่อเราประสบกับสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา เราก็ทำใจได้ว่า นี่คือธรรมดาของโลก ที่เป็นไปตามหลักไตรลักษณ์  ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย หากคิดได้อย่างนี้ เราก็จะไม่ทุกข์หรือทุกข์น้อยลง และในที่สุด หากทุกอย่างถึงพร้อม เราก็อาจเข้าถึงความเป็นอริยชนได้ เพราะมนุษย์นั้นมีศักยภาพอยู่แล้ว หาใช่สิ่งที่ไกลเกินจริงเลย

            ดังนั้น หลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าจึงมีไว้เพื่อให้เราทำความเข้าใจ ให้เป็นหลักคิดของชีวิต เพื่อการพ้นทุกข์ขณะมีชีวิต รวมถึงพ้นจากความทุกข์แห่งการเกิด แก่ เจ็บ ตายในวัฏสงสาร อันเป็นเป้าหมายสูงสุด  มิใช่เพียงรู้ไว้ประดับความรู้เฉยๆ  

           และหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น พ่อแม่ครูบาอาจารย์ พระสงฆ์ผู้เป็นที่เคารพบูชา ท่านก็ได้ให้คำอธิบายเอาไว้มากมาย ซึ่งทั้งหมดล้วนแล้วแต่เกิดจากการปฏิบัติของท่าน จนค้นพบด้วยจิตท่านเองเฉกเช่นองค์บรมครู คำสอนเหล่านี้มีคุณค่ายิ่ง เป็นเครื่องสืบทอดธรรมะของพระพุทธองค์ให้ยืนยาวตลอดมา ผู้เขียนจึงได้รวบรวมไว้ที่บล็อกแห่งนี้ด้วยความเคารพบูชาและด้วยหวังจะเป็นสื่อเล็กๆ  ที่ทำหน้าที่เผยแผ่พระธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตลอดจนพระอริยสงฆ์ ผู้เป็นที่เคารพทั้งมวล เช่นเดียวกับผู้ศรัทธาอีกหลายๆ ท่านบนโลกออนไลน์นี้

          รวมทั้งด้วยหวังว่า จะมีส่วนช่วยเปิดหนทางแห่ง "ความเข้าใจ" ในหลักธรรมให้แก่ทุกท่าน...

           “โอวาทธรรมบนภาพ” เหล่านี้ ผู้เขียนทำไว้บนเฟสบุ๊ค บ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา (คลิกชื่อเข้าชมเฟสได้เลยค่ะ) จากนั้นจึงนำมารวบรวมไว้บนบล็อกแห่งนี้...

           ขอเชิญทุกท่านชมและแชร์กันได้ตามใจปรารถนานะคะ

                                                                                    วัสสวดี

ยิ่งคิด ยิ่งไม่รู้



ยิ่งคิดยิ่งไม่รู้ ยิ่งดูยิ่งไม่เห็น ยิ่งทำยิ่งไม่เป็น ธรรมะนี้เหมือนเส้นผมบังภูเขา เมื่อหยุดทำ หยุดคิด หยุดดู แล้วธรรมสภาวะจะเกิดขึ้นเอง สำคัญอยู่ที่จิตดวงเดียว

                                                                   ครูบาเจ้าบุญชุ่ม ญาณสํวโร

ทุกข์สุขอยู่ที่ใจ


                                                      อันว่าความทุกข์สุขอยู่ที่ใจมิใช่หรือ
                                                          ถ้าใจยึดถือเป็นทุกข์ไม่สุกใส
                                                         ถ้าใจไม่ยึดถือก็สุขไม่ทุกข์ใจ
                                                      อะไรๆ สำคัญอยู่ที่ใจของเราเอย


                                                            ครูบาเจ้าบุญชุ่ม ญาณสํวโร

ทางนิพพาน


                                                     ไม่ห่วงข้างหลัง ไม่ห่วงข้างหน้า
                                                                เฝ้าดูจิตปัจจุบัน
                                                      มีสติทุกเมื่อ เป็นทางนิพพาน    


                                                       ครูบาเจ้าบุญชุ่ม ญาณสํวโร

ปัญญา เกิดจาก...


ปัญญาไม่ได้เกิดจากการมีความรู้มากๆ
ไม่ได้เกิดจากการทดลอง
ปฏิบัติภาวนาหลายๆ แนว
แต่ปัญญาเกิดจากความรู้
ความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง
ถึงหัวใจของหลักปฏิบัติและปฏิบัติตาม

หลวงปู่ชา สุภัทโท


ธรรมะ...ต้องทำ



           ธรรมะที่พระพุทธเจ้าท่านทรงสอนนั้น ไม่ใช่ธรรมะที่เพื่อฟังเฉยๆ หรือรู้เฉยๆ แต่เป็นธรรมะ ที่ต้องปฏิบัติ ต้องทำให้เกิดขึ้น ต้องทำให้มีขึ้นในใจของเราให้ได้ จะไปที่ไหนก็ให้มีธรรมะ จะพูดก็ให้มีธรรมะ จะเดินก็ให้มีธรรมะ จะนอนก็ให้มีธรรมะ จะทำอะไรๆ ก็ให้มีธรรมะทั้งนั้น
.
           คำว่า "มีธรรมะ" นี้ก็คือ จะทำอะไรก็ตาม จะพูดอะไรก็ตาม ให้ทำด้วยปัญญา ให้พูดด้วยปัญญา ให้นึกคิดด้วยปัญญา
ผู้ใดมีสติ สัมปชัญญะ ควบกับปัญญา อยู่ตลอดเวลาแล้ว ผู้นั้นย่อมอยู่ใกล้พระพุทธเจ้าทุกเมื่อ

                                                                                                  หลวงปู่ชา สุภัทโท

ธรรมะคืออะไร




ธรรมะ คือ อะไร คือ ทุกสิ่ง ทุกอย่าง..
ไม่มีอะไร ที่ไม่ใช่ธรรมะ..
ความชอบ ความไม่ชอบ ก็เป็น ธรรมะ..
ไม่ว่าจะเป็นสิ่งเล็กน้อยแค่ไหน ก็เป็นธรรมะ..
เมื่อเราปฏิบัติธรรม..เราเข้าใจอันนี้ เราก็ปล่อยวางได้
ดังนั้น ก็ตรงกับคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า..
ไม่ให้ยึดมั่น ถือมั่น ในสิ่งใด..


หลวงปู่ชา สุภัทโท

การละบาป



การละบาปนั้น สำคัญกว่าการทำบุญ

หลวงปู่ชา สุภัทโท

ทำบุญ แต่ไม่ละบาป




คำสอนของพระ ตรง ง่าย 
แต่ยากกับคนที่จะปฏิบัติเพราะรู้ไม่ถึง


เหมือนกับรู 
คนตั้งร้อยพันคนโทษว่ารูมันลึกเพราะล้วงไปไม่ถึง

ที่จะว่าแขนของตนสั้นไม่ค่อยมี
พระพุทธเจ้าท่านสอนไม่ให้ทำบาปทั้งปวง
เราข้ามไปพากันทำบุญ แต่ไม่พากันละบาป

ก็เท่ากับว่ารูมันลึก 
ที่จะว่าแขนของตนสั้นนั้นไม่มี


หลวงปู่ชา สุภัทโท

การภาวนา


การภาวนานั้น ไม่ใช่ว่าจะนั่งหลับตาอย่างเดียว
แต่ต้องทำ และ ทำได้ตลอดเวลา
การยืน การเดิน การนั่ง การนอน
ให้มีสติประคับประคองอยู่เสมอ
สมาธินั้น อาตมาไม่เอามากหรอก ... 
แต่ให้มี "สติ" อยู่เสมอ”

หลวงปู่ชา สุภัทโท

ธรรมะเป็นปัจจัตตัง



เรื่องธรรมะนี่จริงๆแล้ว ไม่ใช่เรื่องบอกกัน ไม่ใช่เอาความรู้ของคนอื่นมา
ถ้าเอาความรู้ของคนอื่นมาก็เรียกว่า จะต้องเอามาภาวนาให้มันเกิดชัดกับเจ้าของ

ไม่ใช่ว่าคนอื่นพูดให้ฟังเข้าใจ แล้วมันจะหมดกิเลส ไม่ใช่อย่างนั้น 
ได้ความเข้าใจแล้วก็ต้องเอามาขบเคี้ยวมันอีก ให้มันแน่นอนเป็นปัจจัตตังจริงๆ


(ปัจจัตตัง - รู้เห็นได้ด้วยตนเอง,รู้อยู่เฉพาะตน)

หลวงปู่ชา สุภัทโท

ทำตนให้เข้าถึงพุทธธรรม



          เราท่านทั้งหลายได้มีโอกาสเกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา เป็นการยากแท้ที่สัตว์หลายล้านตัวไม่มีโอกาสอย่างเรา จงอย่าประมาท รีบสร้างบารมีให้แก่ตนด้วยการทำดีทั้งชั้นต้น ชั้นกลาง และชั้นสูง อย่าปล่อยให้เวลาเสียไปโดยเปล่าปราศจากประโยชน์เลย ฉะนั้นควรจะทำตนให้เข้าถึงพุทธธรรมเสียแต่วันนี้

                                                                                                       หลวงปู่ชา สุภัทโท

คนเรากลัวตาย แต่ไม่กลัวเกิด



คนเรากลัวตาย แต่ไม่กลัวเกิด

ถ้าหากว่า เราจะร้องไห้ 
กับผู้ที่ตาย

ก็น่าจะร้องไห้ ตั้งแต่ตอนที่เกิด
เพราะเกิดมาแล้ว ก็ต้องตาย

หลวงปู่ชา สุภัทโท

อย่าติดดี


          อุบาสกคนหนึ่งเคยศึกษาธรรมะของฝ่ายมหายาน ถามหลวงพ่อชาเรื่องการปฏิบัติว่า “คนที่ปฏิบัติเพื่อเป็นอรหันต์ กับ คนปฏิบัติเพื่อเป็นพระโพธิสัตว์ อันไหนจะดีกว่ากัน อันไหนสูงกว่ากัน”

          หลวงพ่อชาตอบว่า “อย่าเป็นอะไรเลย พระอรหันต์ก็อย่าเป็นเลย พระโพธิสัตว์ก็อย่าเป็นเลย แม้พระพุทธเจ้าก็อย่าเป็น เป็นอะไรแล้วก็ต้องเป็นทุกข์ทันที ”

          อย่าเป็นคนดี ถ้าเป็นคนดีแล้วต้องรำคาญคนที่ไม่ดี ทุกวันนี้คนที่ไม่ดีมากกว่าคนดีเยอะ ไปที่ไหนก็กลุ้มใจ มีแต่ความไม่พอใจ เหมือนกับคนที่สูบบุหรี่แล้วดูคนอื่นสูบ ก็ไปเทศน์ให้เขาฟัง นี่เรียกว่า “ติดดี” ท่านไม่ให้ติด แม้จะเป็นความดีท่านก็ไม่ให้เราติด เพราะว่าความติดเป็นทุกข์ สร้างความทุกข์แก่ใจ

                                                                                หลวงปู่ชา สุภัทโท

บ้านที่แท้จริง


บางคนได้บ้านใหญ่บ้านโต สนุกสุขสำราญ
ลืมบ้านจริงๆ ของเรา บ้านที่จริงของเราอยู่ไหน
บ้านที่จริงของเรา คือ มีความรู้สึกที่มันสงบ
คือความสงบนั้นแหละ เป็นบ้านของเราจริงๆ

หลวงปู่ชา สุภัทโท


เดินสายกลาง คือ...สงบ...วางสุข...วางทุกข์




ความอยากอย่างแรงกล้า 
ที่จะหลุดพ้นหรือรู้แจ้งนั้น


จะเป็นความอยากที่ขวางกั้นการหลุดพ้น 
พยายามมากเกินไปแต่ขาดปัญญา

เป็นการเคี่ยวเข็ญตนเอง ไปสู่ความทุกข์ยากโดยไม่จำเป็น
เดินสายกลาง คือ...สงบ...วางสุข...วางทุกข์

หลวงปู่ชา สุภัทโท

ผู้ใดตามดูจิต ผู้นั้นจักพ้นจากบ่วงของมาร




จิตของคนตามธรรมชาตินั้น 
ไม่มีความดีใจเสียใจ...
ที่มีความดีใจเสียใจนั้นไม่ใช่จิต


แต่เป็นอารมณ์ที่มาหลอกลวง 
จิตก็หลงไปตามอารมณ์โดยไม่รู้ตัว 
แล้วก็เป็นสุขเป็นทุกข์ไปตามอารมณ์...
ผู้ใดตามดูจิต ผู้นั้นจักพ้นจากบ่วงของมาร


หลวงปู่ชา สุภัทโท

การรักษาศีลต้องอาศัยปัญญามาก่อน



           การรักษาศีล ต้องอาศัยปัญญามาก่อน แต่เราพูดว่ารักษาศีลก่อน ตั้งศีลก่อน ศีลจะสมบูรณ์อย่างไรนั้น ต้องมีปัญญา ต้องค้นคิดกายของเรา วาจาของเรา พิจารณาหาเหตุผล นี่ตัวปัญญาทั้งนั้น ก่อนที่จะตั้งศีลขึ้นได้ต้องอาศัยปัญญา...ถ้าปัญญากล้าขึ้นก็อบรมสมาธิให้มั่นขึ้นไป เมื่อสมาธิมั่นขึ้นไป ศีลก็สมบูรณ์ขึ้น สมาธิก็กล้าขึ้นอีก เมื่อสมาธิกล้าขึ้น ปัญญาก็กล้ายิ่งขึ้น สามอย่างนี้เป็นไวพจน์ซึ่งกันและกัน


                                                                                                        หลวงปู่ชา สุภัทโท

ผู้มีสติอยู่ทุกเวลา


ผู้ใดมี "สติ" ... อยู่ทุกเวลา
ผู้นั้นก็จะได้ฟังธรรมะของพระพุทธเจ้า...

อยู่ตลอดเวลา
เพราะว่า เมื่อตามองเห็นรูป...ก็เป็นธรรมะ
หูได้ยินเสียง...ก็เป็นธรรมะ
จมูกได้กลิ่น...ก็เป็นธรรมะ
ลิ้นได้รส...ก็เป็นธรรมะ
ธรรมารมณ์ที่เกิดขึ้นกับใจ นึกขึ้นได้เมื่อใด...

เป็นธรรมะเมื่อนั้น
ฉะนั้น "ผู้มีสติ" จึงได้ฟังธรรมะของพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลา...
ไม่ว่าจะยืน เดิน นั่ง นอน

หลวงปู่ชา สุภัทโท