พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ ตลอดจนพระอรหันต์สาวกทั้งหลาย
ได้วางจิตของท่านไว้กับสภาวะแห่ง “ รู้ ” ดังกล่าว
จิตของท่านเหล่านั้นจึงปลอดจากภาวะแห่งการปรุงแต่ง เป็นอิสระเต็มบริบูรณ์
สิ่งที่ตามหลัง “ รู้ ” มา เป็นต้นว่า ดี-ชั่ว, เย็น-ร้อน, สุข-ทุกข์, ฯลฯ
มิอาจจะมีอิทธิพลเหนือจิตท่าน
เพราะจิตของท่านคืนเข้าสู่ความเป็นธรรมชาติเดิมแท้
คือ สภาวะ “รู้” หมดดวง โดยสิ้นเชิงแล้ว....
ด้วยเหตุนี้... “ รู้ ” จึงเป็นวิหารธรรมอันบรมสุขของท่านเหล่านั้นชั่วนิรันดร.....!!!
โดยขั้นต้น ก็อย่างที่เคยพูดไว้ให้ฟังว่า ค่อยๆ เพียรรักษาจิตของเราไว้ให้ดี...
มีอะไรได้สัมผัส หรือจิตคิดอะไรขึ้นมาก็ตาม
ขอโปรดได้หันเข้ามาดูข้างใน คือดูที่จิต หรือดูความคิด
อย่าส่งจิตออกไปดู ข้างนอก จงพยายามมีสติให้รู้ทันกับความคิดทุกๆ ครั้ง ที่มันคิด.....
ดูเบาเบา..... ดูนุ่มนุ่ม..... ดูหวานหวาน..... อย่าเพ่ง.... อย่าจ้อง
และ อย่าห้ามความคิด ให้เฝ้าดูเฉย ๆ เท่านั้น
ขอให้พวกเราเพียรปฏิบัติไปในแนวทางดังกล่าวนี้
คือ จิตเห็นจิต อันเป็นทางสายตรง
แล้วไม่ช้าหากปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ ต่อเนื่อง
จิตของพวกเราจะก้าวหน้าและละเอียดยิ่งขึ้น
ในที่สุดก็จะเป็นผู้แตกฉานในเรื่องของจิตเป็นอย่างดี
ย่อมหมายถึงว่า พวกเราเดินใกล้ประตูพระนิพพานเข้ามาทุกขณะแล้ว....
หลวงพ่อมนตรี อาภัสสโร
ที่มา : เพจบ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น