ทำให้เป็นปีใหม่อย่างแท้จริง


คำว่าพรแปลว่าสิ่งประเสริฐ 
สิ่งประเสริฐหรือสิริมงคลในพุทธศาสนา 
ไม่ใช่วัตถุสิ่งของ แต่คือธรรมะในจิตใจ 
ธรรมะในจิตใจไม่มีใครที่จะให้แก่เราได้ 
มีแต่เราต้องทำขึ้นมาเอง 
แต่ถ้าเราสามารถสร้างหรือทำขึ้นมาได้ 
สิ่งเหล่านี้จะเป็นของขวัญอันประเสริฐที่สุด 
อยากให้เรามอบของขวัญอันประเสริฐนี้แก่ตัวเราเอง 
ไม่ต้องรอให้คนอื่นมาให้ 
ไม่ต้องรอพรจากพระสงฆ์องคเจ้า 
เราสามารถมอบของขวัญให้ตัวเอง 
สร้างสิ่งประเสริฐคือพรให้แก่ตัวเอง 
แล้วเราจะได้ชีวิตใหม่ 
ทำให้เป็นปีใหม่อย่างแท้จริง

พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล

ที่มา  : เพจบ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา


 

ปีใหม่นี้ ถ้าอยากมีความสุขทางใจทุกๆ วัน


ปีใหม่นี้ 
ถ้าอยากมีความสุขทางใจทุกๆ วัน 
จงอย่าหวังสิ่งต่อไปนี้
๑. ความเอาอกเอาใจจากผู้อื่น
๒. ความสำนึกในบุญคุณความดี
จากผู้ที่เราได้เคยช่วยเหลือแก่เขา
๓. คำสรรเสริญเยินยอยกย่องชื่นชม
๔. ความอยากที่จะให้คนนั้นคนนี้
เป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ อย่างใจเรา
เพราะจิตสันดานคนเราไม่เหมือนกัน 
เขาเป็นไปตามสันดานของเขา 
                      มิใช่ตามที่เราอยากให้เป็น                       

อ.วศิน อินทสระ

Image by _Vane_ from pixabay

ที่มา  : เพจบ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา


 

พรก็จะเข้าสู่จิตใจ ของพวกเราตลอดไป


ถ้าพวกเรา คิดดี พูดดี ทำดี
ในตัวของเราเองแล้ว
พวกเราก็เหมือนกับว่า
รับพรอยู่ตลอดเวลา
ไม่ว่าจะยืน เดิน นั่ง นอน หลับ ตื่น
พรก็จะเข้าสู่จิตใจ
ของพวกเราตลอดไป

หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก

Image by Kollsd from pixabay

ให้พรตัวเองในปีใหม่และตลอดไปนะคะ

ที่มา  : เพจบ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา


 

ยังเป็นคนเกียจคร้านอยู่


จะนั่งนานๆ เดินจงกรมนานๆ
นั่นก็ชื่อว่า ยังเป็นคนเกียจคร้านอยู่
ถ้ายังไม่รู้จักสละอารมณ์ที่มันเกิดขึ้น
ออกจากจิตจากใจ

หลวงพ่อคำเขียน สุวัณโณ

Image by CDD20 from pixabay

ที่มา  : เพจบ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา


 

เพียง “แค่มอง” สิ่งที่กำลังเป็นไปในจิต


กุญแจสำคัญ หรือวิธีปฏิบัติของพุทธศาสนา 
อยู่ที่การเรียนรู้ที่จะอยู่กับ
การรู้ตามความคิด ความรู้สึก 
และการรับรู้ต่างๆ ตามที่ปรากฏ... 
การตามรู้เฉยๆ นี้เรียกว่า “การเจริญสติ” 
ซึ่งในทางกลับกันก็เป็นเพียงการอยู่กับ
ความกระจ่างใสตามธรรมชาติของจิต... 
ถ้าข้าพเจ้ารู้ตามความคิด การรับรู้ 
และสัมผัสที่เป็นนิสัย 
โดยไม่ถูกลากไปกับมัน 
พลังของมันที่เคยอยู่เหนือข้าพเจ้า
ก็จะเริ่มอ่อนแรงไป 
ข้าพเจ้าก็แค่รับรู้การมาและการไป 
ไม่มีอะไรมากไปกว่าการทำงานตามธรรมชาติของจิต 
เพียง “แค่มอง” สิ่งที่กำลังเป็นไปในจิต 
ก็สามารถเปลี่ยนสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตรงนั้นได้แล้ว

ท่านมิงจูร์ รินโปเช
จากหนังสือ “ชีวิตที่เบิกบาน” 

ที่มา : เพจ Tergar Thai
Image by kytalpa from pixabay

ที่มา  : เพจบ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา


 

โง่ขนาดไหนพวกเรานี่



ดีก็ติด ชั่วก็ติด
ปรุงอยู่ตลอดเวลา
ส่วนมากติดแต่เรื่องชั่วทั้งนั้นแหละ
รักก็รัก ชังก็ชัง เคยรักเคยชังมาแล้ว...
ทำไม่จึงไม่ชินไม่ชา
ไม่รู้กลอุบายของกิเลสที่หลอกอยู่ตลอดเวลา
มันก็เอาเรื่องเก่านั่นแหละมาหลอก
ไม่ใช่เอาเรื่องใหม่มาหลอกนี่นา
พอจะได้หลงกลของมันว่าไม่ทัน
เพราะเป็นกลใหม่
อันนี้มีแต่กลเก่าทั้งนั้น
กลจากรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสต่างๆ
มีแต่เรื่องของเก่า กลเก่า
ปรุงอันเก่าขึ้นมาหลอกอยู่อย่างนั้น
โง่ขนาดไหนพวกเรานี่...

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

Image by CDD20 from pixabay

ที่มา  : เพจบ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา



 

อยู่ในโลกเพื่อเหยียบโลกเล่น


คนที่เข้าใจโลกถึงขั้นมองเห็นอะไร ๆ 
ที่คนอื่นเขาเครียดกันจะเป็นจะตาย
เป็นเรื่องขำขันได้ ก็จะอายุยืน 
อยู่ในโลกแต่ไม่หลงโลก 
อยู่ในโลกเพื่อเหยียบโลกเล่น 
ไม่ใช่แบกโลกไว้บนบ่า 
คนอย่างนี้หายาก 
แต่มีอยู่ที่ไหนคนอยู่ใกล้ก็มีความสุข

ท่าน ว.วชิรเมธี

Image by CaiHuuThanh from pixabay

ที่มา  : เพจบ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา


 

เป็นอิสระ..


เมื่อเป็นอิสระจากความคิด
เรื่องผู้รู้และสิ่งที่ถูกรู้
ดำรงสภาวะธรรมชาติภายในได้เสมอ
ถือว่าได้ถึงแล้วซึ่งธรรมดาหรือความเป็นเช่นนั้น
.
เมื่อรู้สิ่งที่ปรากฏโดยไร้อคติแห่งจิต
ถือว่าได้เข้าถึงแล้วซึ่ง
แก่นแท้แห่งความเห็นชอบและสมาธิ
.
เมื่อเห็นแล้วว่า
สังสารวัฏและนิพพาน
ไม่อาจแบ่งแยก
นั่นคือสัญญาณว่า
การรู้อย่างสมบูรณเกิดขึ้นแล้วภายใน
.
เมื่อไร้ความยึดมั่น
แม้แต่ร่างกายของตน
นั่นคือสัญญาณว่าเป็นอิสระแล้ว
จากอุปาทาน

คุรุปัทมะสัมภวะ
(ท่านคุรุ รินโปเช)


Image by jplenio from pixabay 

ที่มา  : เพจบ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา




 

มันไม่มีตัวเราอยู่ในนั้น


เมื่อเราจะทำความเข้าใจเรื่อง “เวทนา” 
เราควรเข้าใจคำว่า “ขันธ์ 5“
คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ที่เราเรียกว่า “ชีวิต” ของเรา
.
ขันธ์ 5 ต่างทำงานกันตามเหตุปัจจัย
แต่เพราะเราไม่เห็นตามความจริงนี้
...เราจึงไปหลง “ยึดถือ” ว่าเป็นเรา มีเรา 
เราทุกข์ เราสุข เราเป็นนั่นเป็นนี่
.
ในความเป็นจริง “อัตตา หรือ ตัวตน” ไม่เคยมีอยู่จริง 
มีแต่ “ความยึดถือว่ามีตัวเรา” 
และเพราะมีการยึดถือนี่แหละ..ทำให้เราเป็นทุกข์อยู่ร่ำไป 
#เราจัดการเวทนาไม่ได้
เราทำได้แค่ชั่วคราว เช่น ขยับ เปลี่ยนท่าทาง เจ็บปวดก็กินยา ... 
ทั้งหมดแค่ชั่วคราว ใครก็หนีเวทนาไม่พ้นตราบใดที่มีขันธ์
#เราไม่ได้ฝึกเพื่อหนีหรือข้ามเวทนา
ในทางปฏิบัติ เราทำได้แค่รู้เวทนา
พาจิตให้เห็นความทุกข์จากเวทนา ว่าเวทนาเป็นแบบนี้ 
สภาวะสุขเป็นแบบนี้ ทุกข์เป็นแบบนี้ ไม่สุขไม่ทุกข์เป็นแบบนี้ 
.
เห็นกระทั่งว่า แท้จริงแล้ว “สุข” ก็คือสภาวะทุกข์ที่น้อยลงนั่นเอง 
และถ้ารู้บ่อยๆ จะเห็นอีกว่า 
ทุกๆ เวทนาที่เกิดขึ้น มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ 
และมันไม่มีตัวเราอยู่ในนั้น
.
จะเห็นความจริงว่า ขั้นธ์ 5 ทั้งหมด (ซึ่งรวมถึงเวทนาด้วย) 
เป็นทุกข์ในไตรลักษณ์ ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ 
จิตจะค่อยๆ ศึกษาและเข้าใจไปตามลำดับ
แบบนี้เรียกว่า ใช้เวทนาเป็นเครื่องฝึกให้เกิดปัญญา

พระอาจารย์มหาวิเชียร ชินวังโส
เพจคลิกใจให้ธรรม

Image by AdelinaZw from pixabay

ที่มา  : เพจบ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา


 

ไม่ต้องตั้งใจที่จะปล่อยวาง


..ที่ใจของเรา "ยึด" นั้น 
ก็เพราะใจของเราไม่แจ้งชัด
ตามความเป็นจริง 
ใจของเราแจ้งชัด
ตามความเป็นจริงขณะใด 
ขณะนั้นใจของเราปล่อยวางเอง
โดยไม่ต้องตั้งใจที่จะปล่อยวาง...

หลวงปู่แบน ธนากโร

Image by AdelinaZw from pixabay

ที่มา  : เพจบ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา


 

ความยึดมั่นถือมั่นเกิดขึ้นเพราะความไม่รู้ตัว


การเจริญสติเป็นวิธีการที่ต่างจากสมาธิ 
สมาธิเป็นการฝึกให้จิตจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง 
เมื่อรู้สึกเบื่อก็เอาจิตไปจดจ่ออยู่กับเสียงเพลง 
เสียงนก ต้นไม้ หรือการวาดรูป ทำให้ลืมความเบื่อไปได้ 
นี่เป็นงานของสมาธิ  ใช้เมื่อต้องการเปลี่ยนอารมณ์ไปจดจ่อสิ่งอื่นแทน
แต่สติเป็นอีกวิธีการหนึ่ง คือดูหรือเห็นเฉยๆ ไม่เข้าไปเป็น 
แค่เห็นอารมณ์เกิดขึ้น และเมื่อไม่ยึดมั่นถือมั่นกับมัน 
ไม่ปรุงแต่งต่อเติมมัน มันก็ดับไป 
เหมือนไฟที่ไม่มีเชื้อ ไม่มีฟืนก็ดับมอดไปเอง
.
ความทุกข์เกิดได้ไม่นานอยู่แล้ว 
แต่เป็นเพราะใจไปยึดมันเอาไว้  เป็นเพราะใจปรุงแต่งต่อเติม 
มันถึงอยู่ต่อเนื่องเป็นชั่วโมง เป็นวัน บางทีก็เป็นอาทิตย์ 
และใจที่ไปยึดมันก็เพราะไม่รู้ตัว 
เหมือนกับคนที่แบกหินทั้งๆ ที่เหนื่อย เป็นทุกข์ 
ก็ยังแบกเอาไว้ นั่นเป็นเพราะไม่รู้ตัว
.
ทำนองเดียวกับคนที่เจอไฟไหม้บ้าน 
เห็นอะไรใกล้ตัวก็ขนออกไปก่อน 
บางทีแบกตู้เซฟ แบกโอ่งน้ำซึ่งหนักมาก 
แต่ยังแบกขึ้นวิ่งหนีออกจากบ้านอย่างสบาย 
ตอนนั้นไม่รู้สึกหรอกว่าหนัก 
เพราะความกลัวมันครอบงำใจจนกระทั่งลืมตัว แต่ยิ่งวิ่งก็ยิ่งเหนื่อย 
ครั้นหนีมายังที่ปลอดภัย หายกลัวแล้วจึงรู้สึกว่าหนัก 
พอรู้ตัวว่าแบกตู้เซฟหรือโอ่งน้ำเท่านั้น ก็วางมันลงทันที
ความยึดมั่นถือมั่นเกิดขึ้นเพราะความไม่รู้ตัว ทั้งๆ ที่ยึดแล้วทุกข์ 
ทั้งๆ ที่แบกแล้วทุกข์ ก็ยังยึดเอาไว้ 
แต่พอรู้ตัวเมื่อไร ก็วางเองไม่ต้องมีใครสั่ง
.
พระอาจารย์ไพศาล  วิสาโล
จากหนังสือ : ความสุขอยู่ที่ใจ หันมาเมื่อไหร่ก็เจอ

Image by Clker-Free-Vector-Images from pixabay

ที่มา  : เพจบ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา


 

วิธีการแก้ไขจิตใจให้หลุดพ้น...


วิธีการแก้ไขจิตใจให้หลุดพ้น 
จากการยึดติดในเรื่องราวที่ผ่านมา 
หรือเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้น ให้จิตมันหลุดออก ละออก 
มีสิทธิ์ทำได้ไหม ควรทำไหม ?
.
ควรจะทำหรือควรจะปล่อยไป  ถ้าปล่อยไปตามเรื่องตามราว
มันก็จะไปหาเรื่องราวอย่างที่ว่า 
ทุกข์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่จบไม่สิ้น  เดี๋ยวก็ซึมเศร้า เดี๋ยวก็ขุ่นมัว 
เศร้าหมองไปต่างๆ มากมาย 
.
ฉะนั้น ก็ต้องรีบแก้ไข ทำอย่างไร ? จิตใจจะหลุดออก ละออก
 ก็มาสู่เรื่องว่า “การรู้สึกตัวทั่วพร้อม” 
ถ้ามีอาการรู้สึกตัวทั่วพร้อมขึ้นมา จิตก็จะหลุดจากเรื่องอดีต อนาคต 
เพราะเวลารู้สึกตัวทั่วพร้อม  จิตจะอยู่กับปัจจุบัน จะมารู้ตัวในปัจจุบัน 
.
เมื่อมารู้ปัจจุบัน…ก็ต้องทิ้งอดีต อนาคต จริงไหม ?
จิตจะรู้ทีละสองอย่างได้ไหม 
จิตหนึ่งดวงจะรู้เรื่องหลายเรื่องไม่ได้  จะรู้ได้ทีละอย่าง เท่านั้น
.
จิตหนึ่งดวง จะรับรู้อารมณ์ได้ทีละหนึ่งอารมณ์
ตามหลักคำสอนในพระพุทธศาสนา
 จิตไม่สามารถจะรับอารมณ์ ทีละหลายๆ อารมณ์ได้ในขณะเดียว 
.
หนึ่งขณะของจิต…ก็รับได้เพียงหนึ่งอารมณ์ 
เพราะฉะนั้น ถ้าหนึ่งขณะของจิตให้มันรู้สึกตัว 
มันก็จะอยู่กับตัว อยู่ในปัจจุบัน
 ขณะนั้น มันก็จะหลุด จะละเรื่องอดีต  เป็นหนึ่งขณะ 
.
ทีนี้จิตที่รู้สึกตัว มันดับไหม 
มันระลึกแล้ว มันตายตัวคงที่ไหม มันก็ดับ เหมือนกัน
พอระลึกขึ้นมาแป๊บๆ มันก็ดับ 
.
เมื่อดับจิตที่เคยคิดถึงเรื่องอดีต จะเกิดต่อไหม ?
มันยังมีกำลังเหวี่ยงอยู่ เพราะคิดมาเยอะแล้ว
มันยังมีกำลัง มันก็คิดใหม่ เมื่อมันคิดใหม่ ถ้าไม่ระลึก
มันก็จะไปเรื่องอดีต ก็เป็นทุกข์อีก 
.
ทำอย่างไร ? ก็ต้องรู้สึกตัวขึ้นมาใหม่ 
เมื่อระลึกรู้สึกตัวขึ้นมาใหม่ๆ  อยู่กับปัจจุบันขึ้นมาใหม่ 
หลายๆ ขณะ  หรือมากขึ้นๆ 
จิตที่จะไหลไปสู่อดีตอนาคต ก็จะค่อยหมดกำลังไปเอง 
.
แรงเหวี่ยง ปัจจัยมันทิ้งห่างขึ้น  มันก็หายไป มันก็หลุดไป 
เมื่อจิตใจมันอยู่กับปัจจุบันแล้ว ก็รู้จักวางใจเป็นกลาง วางเฉยเป็น
มันก็จะเกิดเป็นจิตประเภทที่ดีขึ้นมา  จิตที่มีความรู้เนื้อรู้ตัว จิตที่มีสติปัญญา
.
 จิตที่มีสมาธิเกิดขึ้น เกิดขึ้นต่อเนื่องอยู่เรื่อยๆ 
คุณภาพของจิตก็ต้องดี 
เพราะว่าสภาพของสติสัมปชัญญะ มันเป็นฝ่ายกุศล เป็นฝ่ายดี 
กุศลก็จะครอบครองจิตใจอยู่เรื่อยๆ 
คุณภาพของจิตก็จะดี จิตก็เบา เบาใจ  เบิกบานใจ สงบใจ เย็นใจ
พระภาวนาเขมคุณ วิ.
(พระอาจารย์สุรศักดิ์ เขมรังสี)
Fb.Achara Klinsuwan

Image by Willgard from pixabay

ที่มา  : เพจบ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา


 

ปล่อยวาง


ธรรม คือ การปล่อยวางตัวเรา หรือ
สังขารกาย (กายสังขาร) และ
สังขารจิต (จิตตสังขาร) หรือ
สิ้นหลงยึดมั่น ว่าเป็นตัวตนคงที่
เป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นของเรา
เมื่อใจรู้เห็นตามความเป็นจริงดังกล่าว
ก็จะสิ้นหลงยึดมั่นถือมั่นเอง
เรียกว่า  ปล่อยวาง

หลวงตาณรงศักดิ์ ขีณาลโย

Image by AureliaJHunter from pixabay

ที่มา  : เพจบ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา


 

อย่าไปทะเลาะและอย่าหนีตามแขกไป


อารมณ์ที่มาเยือนก็เหมือนแขก 
จิตที่ไม่ได้อบรมสติ ก็เหมือน
เจ้าของบ้านที่ออกไปรับแขกแบบไม่รู้ตัว 
ไม่รู้ทั้งตัวเอง  ไม่รู้ทั้งแขกที่เข้ามาเยือน 
บางที เจ้าของก็ไปทะเลาะกับแขก !
บางที เจ้าของก็หนีตามแขกไปเลย !

พระอาจารย์สุรศักดิ์ เขมรังสี

Image by StockSnap from pixabay

Fb.Achara Klinsuwan

ที่มา  : เพจบ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา


 

มีนายแพทย์ประจำตน


สมมติว่า...
ใครทำให้ไม่ถูกใจ ก็เกิดเวทนาทางจิต 
ถ้าขาดสติ...
ก็จะไม่เห็นหน้าตาเวทนา กลายเป็นโทสะ
เข้าครอบงำ ก็ตกเข้าไปในอำนาจอกุศล 
เพราะฉะนั้น ให้ตามรักษาจิตของตน อยู่...เสมอ 
ถ้ามีปัญญาแล้ว 
ก็จะเป็นเสมือนมีนายแพทย์ประจำตนทีเดียว 
เพราะรู้จักผ่อนปรนแก้ไข
ด้วยสติพลัง 
ปัญญาพลัง 
โดยมีอธิวาสนขันติอยู่แล้ว ย่อมชนะเหตุใดๆ 

คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม

จากเพจ วัดพระธาตุขุนบง

Image by geralt from pixabay 

ที่มา  : เพจบ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา


 

"ชีวิต" จะดูแล "ชีวิต" เอง


คนฉลาดจะไม่พยายามควบคุมชีวิต
และไม่ถูกชีวิตควบคุม
หัวใจของเขาเต็มเปี่ยมและสงบเย็น
เพราะรู้ดีว่า "ชีวิต" จะดูแล "ชีวิต" เอง

ท่าน Mooji

The wise one does not try to control life
and is not controlled by life.
His heart is full and serene
knowing that life takes care of life. 

-Mooji

Image by Adriansart from pixabay

ที่มา  : เพจบ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา


 

นั่นแหละ คือสัจธรรม


การที่เราปรารถนาสิ่งใดแล้วไม่ได้สิ่งนั้น
นั่นแหละ คือสัจธรรม 
ถ้าเราปรารถนาสิ่งใดแล้วได้สิ่งนั้น 
สิ่งนั้นเป็นสิ่งหลอกลวง

อ.สุภีร์ ทุมทอง

Image by CDD20 from pixabay

ที่มา  : เพจบ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา


 

ยถาภูตญาณทัศนะ


ความเข้าใจในธรรมชาติของตน 
ที่ได้จากการประสบกับความจริง
ภายในตนเองโดยตรงนั้น 
คือปัญญาที่แท้จริง 
พระพุทธเจ้าทรงเรียกสิ่งนี้ว่า 
ยถาภูตญาณทัศนะ 
หมายถึงปัญญาที่เกิดขึ้นจาก
การเฝ้าสังเกตเห็นความจริงอย่างที่มันเป็น 
เป็นปัญญาที่จะช่วยให้เราหลุดพ้นจากความทุกข์

ท่านอาจารย์โกเอ็นก้า
จาก สติและอุเบกขา 

Image by mohamed_hassan from pixabay

ที่มา  : เพจบ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา


 

สถาบันกายและสถาบันใจ


สถาบันกายและสถาบันใจนั้น 
มันเป็นสถาบันที่ทุกคนควรเข้าไปศึกษา 
เพราะมันเป็นสถาบันที่สูงสุดในโลก
ไม่มีครูสอน เรียนได้ทุกเวลา ไม่มีค่าเทอม 
ไม่มีอุปกรณ์ ค่าใช้จ่ายในการเรียนใดๆ ทั้งนั้น 
ตัวของเราคนเดียวเป็นทั้งครูเป็นทั้งนักเรียน   
ถ้าหากใครเรียนจบทั้งสองสถาบันนี้แล้ว  
คือ...จบแล้วจบเลย 
ไม่ต้องไปเรียนที่ไหนอีกชั่วนิรันดร์กาล 
กลายเป็นผู้พ้นทุกข์พ้นภัยตามรอยอริยสาวก 
ตามรอยของพระพุทธเจ้า
เข้าสู่ดินแดนแห่งอมตธรรม 

พระอาจารย์ชายแดน สีลสุทโธ

Image by geralt from pixabay

ที่มา  : เพจบ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา


 

นิโรธสัจจ์


จิตที่แล่นเข้าไปหลงอารมณ์
เป็นสมุทัยสัจจ์
จิตที่เข้าไปรู้แจ้งเห็นจริง
ในอารมณ์ทั้งหลาย 
และกระแสจิตที่แล่นอยู่
และสภาพจริงของจิตเดิม
รู้ได้เช่นนี้เรียกว่า มรรคจิต
ปล่อยวางสภาพของอารมณ์และกระแสจิต 
และสภาพจิตอันนี้ 
ปล่อยได้ไม่ยึดถือนี่แหละเรียกว่า นิโรธสัจจ์

ท่านพ่อลี ธัมมธโร
ที่มา สติปัฏฐาน

Image by truthseeker08 from pixabay

ที่มา  : เพจบ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา


 

นิพพานก็มีอยู่แล้วในตัวเรา


จุดประสงค์ที่แท้จริง [zen] 
...
คือการเห็นสิ่งต่าง ๆ อย่างที่มันเป็น 
สังเกตสิ่งต่าง ๆ ตามที่มันเป็น 
และปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไป... 
ทางโลกสังขารความคิดปรุงแต่งเรานั้นมีปัญหามากมาย 
แต่ปัญหาเหล่านี้ไม่ใช่ปัญหาที่มีอยู่จริง  
สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่สร้างขึ้น
จากแนวคิดหรือมุมมองที่ยึดเอาตนเอง
เป็นศูนย์กลางของเราขึ้นมา
เมื่อเราตระหนักถึงสัจจะความจริงอันเป็นนิรันดร์
ในของที่ “ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลง (อนิจจัง)”
และพบความสงบอันสมบูรณ์ภายในนั้น
เราจะพบว่านิพพานก็มีอยู่แล้วในตัวเรานี่เอง  

พระอาจารย์ชุนริว ซูสุกิ

Image by JordyMeow from pixabay

ที่มา  : เพจบ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา


 

การทรงจิตในอารมณ์นิพพาน


ไม่ยึด ไม่ถือ ไม่เกี่ยว ไม่ข้อง
กายใจ และสิ่งใดๆ ในโลกนี้ไว้
สักแต่ว่า ทำหน้าที่ ไปตามสมมุติ
รู้ แค่รู้ผ่านๆไป..
"นี้คือการทรงจิตในอารมณ์นิพพาน"
ทรงอารมณ์จิตอย่างนี้ให้เป็นปกติ
จะพ้นเกิดพ้นตายได้ในชาติปัจจุบันนี้

อาจารย์ปู่ เอกธาตุ

Image by No-longer-here from pixabay

ที่มา  : เพจบ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา


 

คนที่ประสบสุข ประสบความสำเร็จทางจิตญาณ


ไม่มีใครสักคนเดียวที่มาเยือนโลกนี้ ..
ด้วยความเป็นเจ้าของ..
ทุกคนมามือเปล่า ล้วนกลับไปมือเปล่า เท่าๆ กัน..
.
ไม่มีใครสักคนเดียว ที่มีหน้าที่ทุกข์..
เพราะทุกสิ่งบนโลกนี้ ไม่มีอะไรที่เป็นของเราจริง 
ไม่เว้นแม้แต่เรา ความรู้สึกอารมณ์นึกคิดของเรา 
จะทุกข์กับสิ่งที่ไม่ใช่เราจริงๆ 
มาตั้งแต่ต้นไปเพื่อ??
.
เราต้องรู้ความจริงว่า ทั้งหมดของการเกิดมามีชีวิต
 มีแต่ความเป็นสมมุติชั่วครั้งชั่วคราว
ที่ยึดถือเอาอะไรไม่ได้..ไม่ว่าเรา ไม่ว่าใครๆ 
"กฎนี้ตายตัว"
.
เราจึงไม่มีหน้าที่ ที่จะต้องคิดมากเกินจริง 
หรือต้องจมในทะเลทุกข์ ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใด
.
การอยู่บนโลกนี้ เราต้องอยู่กับความจริง 
รู้ที่ไปที่มาของทุกๆ สิ่งตามจริง ..
รู้จริงเห็นแจ้งจนหมดความหลงกับทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
.
เราต้องมีชีวิตอย่างอิสระ รู้ตื่น และหมดจดจากความเป็นทาส..
.
คนฉลาด คนมีปัญญา เขาเลิกทุกข์กับสิ่งอันเป็นโลก 
เพราะได้รู้จักโลกอย่างแจ่มแจ้งหมดเปลือก 
เห็นโลกอย่างแจ่มแจ้งไร้ที่กำบังอีก 
หมดความสงสัย หมดความอยาก
ในทางที่เกี่ยวกับการวนเวียนภพขาติ 
หมดปัญหาทางตัวตนที่เป็นต้นแห่งทุกข์ 
หมดความลังเลสงสัยเพราะมีแสงสว่างมาแทนที่..
.
คนที่ประสบสุข 
ประสบความสำเร็จทางจิตญาณอย่างแท้จริง 
มิใช่เพราะว่าได้อะไรมา 
หากแต่เขาได้พบกับความจริง
ความจริงที่เป็นไปเพื่อความหลุดพ้น 
ความจริงที่เป็นไปเพื่ออิสระ 
ปลดล็อคคลายจากทุกข์และความเศร้าหมองตลอดกาล 

อิโตมิ จัง

Image by iqbalnuril from pixabay

ที่มา  : เพจบ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา


 

การวางเป็นเรื่องของจิต ที่เห็นความจริง


หลายครั้งที่เราใช้คำว่า “ปล่อยวาง”
แต่ใครจะปล่อยวางได้จริงๆ
ส่วนมากคือมักจะเปลี่ยน
จากอารมณ์หนึ่งไปหาอีกอารมณ์หนึ่ง
ยิ่งเป็นความรู้สึกทุกข์ด้วยแล้ว 
ก็ยิ่งอยากจะวาง มันวางไม่ได้จริงๆ หรอก
เป็นแต่เพียงการหลีกอารมณ์
เพราะรู้สึกว่าสิ่งนี้ไม่ควรแก่เรา 
ขาดการเรียนรู้ความจริง
ขาดการยอมรับเหมือนๆ กับซุกเอาไว้ใต้เตียง
ทำเป็นไม่เห็นแต่มันก็ยังอยู่ตรงนั้น
การวางเป็นเรื่องของจิต
ที่เห็นความจริงว่าสิ่งนั้นๆ ไม่ใช่เรา เป็นตัวทุกข์
เหมือนๆ กับเราเอามือไปจับก้อนอะไรซักอย่างที่มันร้อน 
เรารู้ว่ามันร้อน คราวหลังเราเห็น เราจะไม่จับอีก
จิตที่รู้เห็นจริงจนวางอารมณ์ก็ฉันนั้น

พระอาจารย์เจษฎา คุตฺตจิตฺโต

Image by Xisat from pixabay

ที่มา  : เพจบ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา