จิตของปุถุชนนั้น ยังมีการให้ค่า ให้คะแนน
กับอารมณ์ กับสิ่งที่ได้เห็น ได้ยิน ได้ฟัง
นั่นคือ ยังมีชอบ/ไม่ชอบอยู่
ทั้งชอบและไม่ชอบนั้น จะเกิดอาการจิตกระเพื่อม
ธรรมชาติของใจนั้นเมื่อพบกับอารมณ์ที่พึงใจ
ก็จะกระเพื่อมในลักษณะดึงเข้ามาหาตัว
อยากเก็บรักษาสภาวะนั้นไว้นาน ๆ
แต่เมื่อได้ประสบกับอารมณ์ที่ชัง
จะเกิดปฏิกิริยาตรงกันข้าม กล่าวคือ
จะมีการผลักออกจากตัว
ด้วยความรู้สึกทนอยู่กับความไม่ชอบนั้นไม่ได้
ต่อเมื่อญาณหยั่งรากลึกตั้งมั่น
ก็จะมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างเป็นปกติเป็นปัจจุบัน
การเห็น การได้ยิน จะเป็นปกติขึ้น
สิ่งใดมากระทบ จิตก็จะฉลาดในการตั้งรับ
อาการคอรัปชั่นทางอารมณ์ก็จะลดลง
หากแต่จิตของพระอรหันต์นั้น ตั้งตรง 90 องศา
ไม่ให้คะแนนกับอารมณ์ จิตไม่กระเพื่อม จิตก็จะโปร่งเบา วาง สงบ
มีแต่ “รู้” แจ่มจรัสเจิดจ้าอยู่ในภายใน
จิตในสภาวะดังกล่าว จะว่างจากความผูกยึด เป็นตัวเป็นตน
ไม่มีใครทุกข์ ไม่มีใครสุข ไม่มีใครเจ็บ ใครตาย
ไม่มีใครได้ ใครเสีย แม้แต่ตัวสติปัญญา หรือสัมมาทิฏฐิ ใดๆ
ไม่มีทั้งผู้กระทํา และผู้ถูกกระทําใดๆ ทั้งสิ้น
มีแต่วางอยู่ “รู้” อยู่ เจิดจรัสสว่างไสวอยู่ ในภายในชั่วนิรันดร์
จะเข้าถึงสภาวะนี้ได้ จะต้องสร้างทัศนะแห่งความเคยชิน
ในการที่จะย้อนมองข้างใน ให้เป็นปกตินิสัย
แล้วเพียรเฝ้าดูเฝ้ารู้ เฝ้าระวังจิตให้ติดต่อสืบเนื่อง
ปัดทุกสิ่งที่ผุดโผล่ขึ้นมาทิ้งให้หมด
ไม่ตามคอยวิเคราะห์ วิจัย วิจารณ์ใดๆ ทั้งสิ้น
ไม่ให้ความใส่ใจ หรือสนใจกับพฤติกรรมใดๆ ที่อุบัติขึ้นมาในจิต
ไม่ว่าจะเป็นแสง สี เสียง หรือนิมิตวิเศษวิโสใดๆ ทั้งนั้น
ก็เมื่อสภาวะที่แท้จริงของจิตเดิมแท้นั้น ว่างและบริสุทธิ์แล้ว
ในความว่างบริสุทธิ์นั้น จะมีพฤติกรรมดังกล่าวเกิดขึ้นได้อย่างไร
ขอจงจําไว้อย่างประทับใจว่า
จงรู้ทุกอย่างที่จิตรู้ แต่อย่าติดในรู้นั้น
หลวงพ่อมนตรี อาภัสสโร
ที่มา : เพจบ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา