...คำสอนในพระไตรปิฎก ๘๔,๐๐๐ ธรรมขันธ์ สรุปเหลือประโยคเดียวว่า…
“สิ่งทั้งปวงอันใครๆ ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นว่าตัวกู ว่าของกู”
.
มันเป็นของธรรมชาติ...
ยึดมั่นอะไรว่าเป็นตัวกูของกูเมื่อไร ก็เป็นความทุกข์เมื่อนั้น.
จงปล่อยไว้เป็นธรรมชาติ จะกินจะใช้จะทำอะไรก็ทำไป
.
พวกคริสเตียน เขาก็สอนว่า…
“มีภรรยาก็จงเหมือนกับไม่มีภรรยา
มีทรัพย์สมบัติก็จงเหมือนกับไม่มีทรัพย์สมบัติ
มีความสุขก็จงเหมือนกับไม่มีความสุข
มีความทุกข์ก็จงเหมือนกับไม่มีความทุกข์
ไปซื้อของที่ตลาดแล้วอย่าเอาอะไรมา”.
.
...มันเป็นคำสอนที่ลึกที่สุด
เช่นเดียวกับคำสอนที่ลึกถึงที่สุด ในฝ่ายเราเหมือนกัน.
.
การมีภรรยาก็มีไปตามหน้าที่ที่จะต้องทำ
แต่อย่ามั่นหมายสำคัญว่าภรรยาของเรา :
มันของธรรมชาติ มันของพระเจ้า จะตู่ว่าเป็นของเราไม่ได้
เป็นเพียงของให้ยืมใช้ชั่วคราวโดยธรรมชาติ.
.
ทรัพย์สมบัติก็เหมือนกัน ความสุขความทุกข์ก็เหมือนกัน
ของที่ตลาดซื้อมาด้วยเงินของเรา ตามกฎหมายเป็นสิทธิของเรา
ถือเอามาบ้าน แต่ใจอย่ากล้าโง่ว่านี้มันของเรา
ที่แท้มันของธรรมชาติ มันของพระเจ้า
มันเปลี่ยนมือมาที่เรา เพื่อให้เอาไปกินไปใช้
แล้ววนเวียนกันอยู่อย่างนี้ ใจอย่าโง่ถึงกับว่า นี้ของกู.
.
สรุปว่า ลูกเมียทรัพย์สมบัติ
สิ่งของ เงินทอง เกียรติยศชื่อเสียงอะไรก็ตาม
อย่าโง่ว่าของกู แล้วก็อย่าโง่เอากลุ่มนี้ว่าตัวกู
อย่าโง่เอากลุ่มนอก ๆ ว่าของกู.
.
นี่แหละคือการถือสรณะที่ถึงที่สุด
ถือเอาความไม่ยึดมั่นถือมั่นนั่นแหละ
เป็นสรณะให้ถึงที่สุด
.
ความไม่ยึดมั่นถือมั่นนั่นแหละ
เป็นคุณธรรมเป็นคุณสมบัติ ของความสะอาด สว่าง สงบ
พอยึดมั่นถือมั่นก็สกปรกทันที มืดมัวทันที เร่าร้อนทันที
พอไม่ยึดมั่นถือมั่นก็ สะอาด สว่าง สงบ ทันที.
.
ท่านพุทธทาสภิกขุ
Image by dannaragrim from pixabay
ที่มา : เพจบ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา