ฝากนิยาย..ศรีอินทราทิตย์


           
*****อัพเดตบทที่ 28 แล้วค่ะ*****
             23 พฤศจิกายน 2566

             เรื่องราวของหนุ่มไทยในต่างแดนซึ่งแม้จะอพยพไปไกลถึงแดนจิงโจ้ ก็ยังไม่พ้นการติดตามของบุรุษลึกลับ เจ้าของพระนาม "พ่อขุนบางกลางหาว" หรือพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ในเวลาต่อมา พระองค์ขอให้เขากลับไปทำหน้าที่ในฐานะกุญแจสำคัญดอกหนึ่งของการปลดปล่อยไทยให้เป็นอิสระจากขอม เขาลังเล แต่ที่สุดก็ตัดสินใจกลับคืนอดีต ด้วยความรักความผูกพันที่มีต่อหญิงงามชาตินักรบคนหนึ่ง ที่เขาได้พบเพียงในฝันตลอดมา แต่ต่อจากนี้จะได้พบตัวจริงของเธอแล้ว....

            หากใครชอบนิยายรัก แฟนตาซีย้อนยุค ช่วยเป็นกำลังใจให้แอดมินที่เขียนเรื่องนี้โดยใช้นามปากกา "รัสษวดี" ด้วยนะคะ     ที่บล็อคนี้ค่ะ

    

            หรือในเว็บนิยายข้างล่างนี้นะคะ

Readawrite

https://www.readawrite.com/a/Z5hhl3-%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A2%E0%B9%8C?r=search_article


เด็กดี

https://writer.dek-d.com/Wassawadee/writer/view.php?id=2340119


 

พื้นฐานของการปฏิบัติธรรม


พื้นฐานของการปฏิบัติธรรม

การปฏิบัติธรรมไม่ใช่การมานั่งสมาธิเท่านั้น
มันคือการใช้ชีวิตโดยมีธรรมะเป็นหลักของใจ
ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม
ฝึกที่จะเป็นคนที่เสียสละออกไป
ฝึกที่จะเป็นคนที่ให้อะไรออกไป
ในทางสภาวธรรมแล้ว 
ผู้ให้ย่อมลอยสูงขึ้น
เป็นวิถีของความสุขเบาสบาย

จิตที่คิดจะเอามันจะหนัก
.. จะดึงเราจมลงต่ำ
.. จะทำให้เราเจอแต่ความร้อน 
.. ความหนัก ความอัดแน่นต่างๆ

จิตที่คิดจะให้มันจะเบา
แล้วมันจะลอยขึ้น
สภาวธรรมเป็นเช่นนั้นนะ
เพราะฉะนั้นญาติโยม
ปรารถนาที่จะมีชีวิตที่ดีมีความสุข
.. ก็ฝึกฝนที่จะขัดเกลาตนเอง
.. ฝึกที่จะเป็นผู้ที่เสียสละ
.. สละแม้กระทั่งความสุขความสบายส่วนตัว
.. เพื่อผู้อื่น เพื่อส่วนรวมขึ้นมา

ฝึกที่จะเป็นผู้ให้ 
การให้การสละออก ให้โดยที่เรา
.. ไม่ได้คิดที่จะเอาอะไรกลับมา
.. ไม่ได้หวังสิ่งใดตอบแทน
.. ไม่ได้มีเงื่อนไขอะไร

#เป็นการขัดเกลาจิตใจตัวเอง
.. ขัดเกลาความตระหนี่
.. ขัดเกลาความหวงแหน
.. ขัดเกลามลทินในจิตใจ
.. ขัดเกลาความโลภ
.. ขัดเกลาความโกรธความหลงในจิตใจ

ฝึกที่จะเป็นผู้ที่เห็นอกเห็นใจผู้อื่น
ฝึกที่จะทำอะไรเพื่อผู้อื่น
ทรัพย์สมบัติเงินไม่กี่บาทของเรา
อาจจะประทังชีวิตของใครหลาย ๆ คนก็ได้

ถุงอาหารถุงหนึ่งของเรา
ที่เราอิ่มแล้วเหลือพอแล้ว
อาจจะช่วยชีวิตต่อลมหายใจ
ของใครหลาย ๆ คนก็ได้
ยิ่งคนนั้นเขาเป็นหัวหน้าครอบครัว
เขาอาจจะไปต่อโอกาสให้ลูกเมียเขา
ในชีวิตอีกมากมายก็ได้

ฝึกที่จะทำอะไรเพื่อผู้คนอื่น
แทนที่เราจะมองแต่ตัวเอง
แล้วก็จม แล้วก็ทุกข์
มองไปถึงคนอื่นบ้าง
ที่เขาได้รับความทุกข์ต่าง ๆ
.. แล้วใจเรามันจะเบาขึ้น
.. ใจเราจะเบิกบานขึ้น
.. ใจเราจะกว้างขวางขึ้น

จิตใจที่คับแคบที่หมกมุ่นกับตัวเอง
จะมีแต่ความร้อนความหนักอยู่ร่ำไป
จิตใจที่คิดถึงผู้อื่น
จิตใจที่กว้างขวางออกไป
จะเป็นจิตใจที่เบาสบาย
และจิตใจที่เบิกบานออกมา

ความสุขไม่ใช่สิ่งที่หายาก
ถ้าเราเข้าใจวิถีของการฝึกปฏิบัติธรรม
มันไม่ได้หมายความว่า
เราต้องมีเงิน มีทรัพย์สมบัติมากมาย
เราถึงจะมีความสุข
เมื่อไหร่ที่จิตใจเราเป็นจิตใจที่ดีงาม
นั่นแหละความสุขก็เกิดขึ้น
เพราะจิตที่เป็นกุศลคือจิตที่มีความสุข

จิตที่เป็นอกุศลคือจิตที่มีความทุกข์
ตรงกันข้าม...
ต่อให้โยมมีทรัพย์สมบัติมากมาย
แต่มีแต่จิตที่เป็นอกุศล
โยมก็ไม่มีความสุขหรอก
จิตอกุศลบางจิตอาจจะมีความสุข
แต่มันเป็นความสุขแบบเร่าร้อน
เรียกว่าจิตที่ประกอบด้วยโลภะ
มันก็มีความสุขนะ เช่น
ไปทำอะไรสนองความต้องการตัวเอง
เหมือนจะมีความสุข แต่ว่ามันมีโทษภัย
มีความเร่าร้อนตามมามาก
มันมีความเสียหายตามมา
สุดท้ายโยมก็ต้องมาเจ็บปวด
มาเสียใจ มาทรมานอยู่ร่ำไป
มาตามล้างตามเช็ด ตามแก้ปัญหา
ไม่หวาดไม่ไหวทีเดียว

แต่สุขจากการทำความดี
จากการเพาะบ่มจิตใจที่ดีงาม
.. จิตใจที่อ่อนโยน
.. จิตใจที่โอบอ้อมอารี
.. จิตใจที่มีความเสียสละ
.. จิตใจที่เป็นผู้ให้ผู้สละออก
.. จิตใจที่เห็นอกเห็นใจผู้อื่น
จะเป็นจิตที่เบาสบายเป็นจิตที่มีความสุข
เป็นจิตที่เป็นวิถีที่ลอยขึ้นมา

ตรงนี้แหละคือพื้นฐานของการปฏิบัติธรรม
เริ่มต้นตั้งแต่ฝึกฝนขัดเกลาตนเอง
ตั้งแต่ในเรื่องกายภาพทีเดียว
.
ธรรมบรรยาย โดย พระมหาวรพรต กิตฺติวโร
บ่ายวันที่ 20 พฤษภาคม 2566

Image by Rattakarn_from pixabay

ที่มา  เพจมนษิธาร  Monsitharn

        (บ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา เดิม)






 

ถ้าความโกรธเป็นของเราจริงๆ


หญิงคนหนึ่งต้องการทราบวิธีจัดการกับความโกรธ 
อาตมาถามว่าเมื่อความโกรธเกิดขึ้น 
มันเป็นความโกรธของใคร 
เขาบอกว่ามันเป็นของเขา 
ถ้าเป็นความโกรธของเขาจริงๆ
ก็น่าจะบอกให้มันหายไปได้ใช่ไหม? 
แต่จริงๆ  ตัวเองก็สั่งไม่ได้ 
การยึดความโกรธไว้เป็นสมบัติส่วนตัว
ย่อมทำให้เกิดความทุกข์ 
ถ้าความโกรธเป็นของเราจริงๆ 
มันก็ต้องเชื่อฟังเรา หากมันไม่เชื่อฟังเรา 
นั่นก็หมายความว่ามันเป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น 
อย่าตกหลุมพรางความโกรธ
เมื่อไหร่ก็ตามที่จิตเป็นสุขหรือทุกข์
ก็อย่าไปหลงมัน 
มันเป็นภาพลวงตาทั้งหมด

หลวงปู่ชา สุภัทโท

A woman wanted to know how to deal with anger. 
I asked when anger arose whose anger it was. 
She said it was hers. Well, if it really was her anger, 
then she should be able to tell it to go away, shouldn't she?
 But it really isn't hers to command. 
Holding on to anger as a personal possession 
will cause suffering. If anger really belonged to us, 
it would have to obey us. If it doesn't obey us, 
that means it's only a deception. Don't fall for it. 
Whenever the mind is happy or sad, 
don't fall for it. It's all a deception.

From: "No Ajahn Chah - Reflections", Dhamma Garden, 1994”

Image by Engin_Akyurt from pixabay

ที่มา  เพจมนษิธาร  Monsitharn

        (บ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา เดิม)





 

นั่นเป็นส่วนหนึ่งของการทำสมาธิ


การทำสมาธิเป็นสภาวะของจิตใจ
ที่มองทุกสิ่งด้วยความใส่ใจอย่างครบถ้วน 
ไม่ใช่แค่บางส่วนเท่านั้น 
และไม่มีใครสอนวิธีการใส่ใจให้เธอได้ 
หากระบบใดสอนให้เธอรู้จักการใส่ใจ 
แสดงว่าเธอใส่ใจระบบและนั่นไม่ใช่การใส่ใจ 
การทำสมาธิเป็นศิลปะที่ยิ่งใหญ่
ที่สุดอย่างหนึ่งในชีวิต 
และไม่มีใครสามารถเรียนรู้มันจากคนอื่น
นั่นคือความงดงามของมัน 
ไม่มีเทคนิคจึงไม่มีเจ้าของ 
เมื่อเธอเรียนรู้เกี่ยวกับตัวเอง 
ระวังตัวเอง ดูวิธีการเดิน 
วิธีการกิน สิ่งที่พูด การนินทา 
ความเกลียดชัง ความอิจฉาริษยา 
- หากเธอตระหนักถึงทุกสิ่งในตัวเอง
โดยไม่คิดถึงสิ่งอื่นใด 
นั่นเป็นส่วนหนึ่งของการทำสมาธิ 
ดังนั้นการทำสมาธิสามารถเกิดขึ้นได้
เมื่อเธอนั่งอยู่ในรถบัสหรือเดินในป่า
ที่เต็มไปด้วยแสงและเงา ฟังเสียงนกร้อง 
หรือมองหน้าภรรยาหรือลูกของเธอ...


Meditation is a state of mind which looks at everything with complete attention, totally, not just parts of it. And no one can teach you how to be attentive. If any system teaches you how to be attentive, then you are attentive to the system and that is not attention. Meditation is one of the greatest arts in life – perhaps the greatest, and one cannot possibly learn it from anybody, that is the beauty of it. It has no technique and therefore no authority. When you learn about yourself, watch yourself, watch the way you walk, how you eat, what you say, the gossip, the hate, the jealousy – if you are aware of all that in yourself, without any choice, that is part of meditation. So meditation can take place when you are sitting in a bus or walking in the woods full of light and shadows, or listening to the singing of birds or looking at the face of your wife or child…

ท่านกฤษณมูรติ

Image by Παῦλος from pixabay

ที่มา  เพจมนษิธาร  Monsitharn

        (บ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา เดิม)


 

เพื่อให้เห็นกระบวนการที่มันทำหน้าที่เอง


จะดูกาย ดูเวทนา ดูจิต หรือ แม้แต่ธรรม
ตัวรู้ และ สิ่งถูกรู้ อาการของจิต
ที่ดูเพื่อให้เห็นกระบวนการที่มันทำหน้าที่เอง
มิใช่เรา ไม่ได้เป็นเจ้าของ 
แต่ที่สำคัญจะเห็นใครกำลังคิด 
ใครกำลังพิจารณา 
ถ้าเห็นมันคิดเอง มิใช่เรา 
นั้นแหละเริ่มต้นของการแยกรูปและนาม 
ส่วนใหญ่ไปเป็นความคิด 
ไปเป็นอาการ ไปเป็นเจ้าของรู้ 
เหมือนจะแยกได้ 
แต่โดนความคิดหลอกซะแล้ว 
ไปเป็นเจ้าของความคิด 
ที่กำลังคิดอยู่นี่ใคร

พระอาจารย์ปกรณ์นันทน์ ฐิตธัมโม

Image by REIGNCONCEPT from pixabay

ที่มา  เพจมนษิธาร  Monsitharn

        (บ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา เดิม)



 

เธอไม่ใช่จิต




ถ้าเธอรู้ว่า เธอไม่ใช่จิต
แล้วมันจะเกิดความแตกต่างตรงไหน
ถ้ามันจะวุ่นวายหรือมันจะสงบ
เธอไม่ใช่จิต

If you know you are not the mind, then what difference does it make 
if it's busy or quiet? You are not the mind.

Sri Nisargadatta Maharaj.

Image by tookapic from pixabay

ที่มา  เพจมนษิธาร  Monsitharn

        (บ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา เดิม)




 

จงทำจิตใจให้ว่างจากความยึดถืออย่างเดียว


...พระพุทธองค์ ทรงประสงค์จะให้เรา
ออกไปจากกรงขังมากกว่า
ที่จะให้เพลินใจอยู่ในกรง 
จึงได้ตรัสไว้อย่างเด็ดขาดว่า 
ต้องไม่ยึดถือสิ่งใดหมด 
รวมทั้งความยึดถือในพระองค์เองด้วย
.
พระองค์ทรงประกาศพระองค์เอง
เป็นเพียงผู้คอยชี้ทางให้คนเดินไป 
ถ้าเราจะมาติดแจอยู่กับพระองค์แล้ว 
มันก็ไม่มีการเดินกันเท่านั้นเอง.
ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา และไม่ควรยึดมั่นนี้ 
เป็นหลักที่ตายตัวในพระพุทธศาสนา
 ศีล สมาธิ ปัญญา หรือที่เรียกว่าไตรสิกขานี้ 
เป็นเพียงยานพาหนะมีไว้อาศัยเดินทาง 
ไม่ใช่สำหรับยึดถือ หรือหาบหาม
เอาไว้ด้วยความหวงแหน.
.
พระรัตนตรัยเป็นเพียงเครื่องหมาย
ของความที่รอดพ้นออกไปได้
สำหรับให้เกิดความมั่นใจแก่ผู้จะเดินไปเท่านั้น. 
ไม่มีตัวตนสำหรับให้ยึดถือ
ขืนยึดถือก็เกิดเป็นปฏิรูป หรือของปลอมขึ้นมา.
ถ้าไม่รู้จักปล่อยวางกันบ้าง ก็จะกลายเป็น
ภูเขาขวางทางขึ้นมาเท่านั้น 
จงทำจิตใจให้ว่างจากความยึดถืออย่างเดียวเถิด 
หน้าที่ทั้งปวงก็จะหมดลงทันที 
ไม่ต้องมีใครเป็นผู้ลุถึงนิพพาน 
นอกไปจากจิตซึ่งหมดความยึดถือว่า…
ตัวมันเองเป็นตัวตนอย่างเด็ดขาดแล้ว.

ท่านพุทธทาสภิกขุ

Image by Pexels from pixabay

ว่างจากตัวตน ว่างจากความยึดถือ
คือการเดินตาม
คือการเคารพในพระรัตนตรัย

ที่มา  เพจมนษิธาร  Monsitharn

        (บ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา เดิม)


 

ทำไมธรรมะจึงดูซับซ้อนเข้าใจยาก


ทำไมธรรมะจึงดูซับซ้อนเข้าใจยากนัก 
ก็เพราะว่าจิตที่ใช้ในการรับรู้ธรรมะเองนั่นแหละ
ที่ซับซ้อนใช้เหตุผล มันเยอะเกินไป พยายามจะเข้าถึง
ธรรมมิอาจใช้ตัว หรือ ความคิดที่จะเข้าถึง 
เพราะมีอยู่แล้ว เลยบังสิ่งเดิมแท้
ที่มีทุกคน ที่มีตลอดเวลา 
.
เพราะยังใช้ความคิด ตรรกะ  สัญชาตญาณ ความรู้ 
ความเชื่อ ความเห็น ความหมาย 
คติ อคติ  ทิฐิ อุปทาน
เลยมีมวลหนักมิอาจก้าวข้ามห้วงเวลาได้
ประสาทสัมผัสทั้ง 5 และสมอง 
ต้องส่งคำสั่งไปยังร่างกายมันจึงต้องใช้เวลา 
เลยมีแรงโน้มถ่วงและความเร็วจำกัดลง เลยมีขอบเขต
ความคุ้นเคยต่อการตอบสนองเองระบบร่างกาย
ความคิด และ จิต จึงบังสภาวะเดิมแท้หรือนิพพาน
.
การแยกความคิดออกจากร่างกาย
และปล่อยให้เป็นไปโดยไม่ต้องคำนึงถึง 
ให้เป็นอัตโนมัติ สู่ธาตุบริสุทธิ์
.
จิต คือ ไร้กำแพงขวางธรรมเดิมแท้
ไร้จิต คือ ไร้ประตู
ที่ไม่เข้าใจธรรมมะ เรายึดในเหตุผลเราเยอะไป
โดยมีความเข้าใจ หรือ ไม่เข้าใจ ยาก ง่าย
สร้างประตู และ กำแพง ขวางกั้นเอง
ล้วนมาจากความคิดเรา 
.
แต่ความจริงสิ่งที่คิด สิ่งที่ไม่ใช่เรา นั้น
เป็นผู้หว่านเมล็ดพันธ์ ให้เราตกสู่กระแสทั้งปวง
.
หนทางที่แท้จริง คือ ไม่มีหนทาง
แต่ไม่มีหนทางนั้นแหละ คือ หนทางเอง

พระอาจารย์ปกรณ์นันทน์ ฐิตธัมโม

Image by photoeightyeight from pixabay

ที่มา  เพจมนษิธาร  Monsitharn

        (บ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา เดิม)


 

ล้วนคือโซ่ตรวน


ทั้งความสุขและความทุกข์ล้วนคือโซ่ตรวน 
หนึ่งนั้นทำด้วยทองคำ อีกหนึ่งนั้นทำด้วยเหล็ก 
แต่ทั้งสองก็แข็งแกร่งพอกันในการพันธนาการเรา
และฉุดรั้งเราออกจากการตระหนักรู้
ในธรรมชาติที่แท้จริงของตัวเรา

สวามี วิเวกนันทะ (ค.ศ.1863 - 1902) 
นักบวชและนักปราชญ์ฮินดูท่านสำคัญ
ผู้เผยแผ่ปรัชญาเวทานตะและโยคะ สู่ตะวันตก

Photo by Michael Carruth on Unsplash

ที่มา  เพจมนษิธาร  Monsitharn

        (บ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา เดิม)



 

ความเกียจคร้านฆ่าความทะเยอทะยาน


ความเกียจคร้านฆ่าความทะเยอทะยาน
ความโกรธฆ่าปัญญา
ความกลัวฆ่าความฝัน
อัตตาฆ่าการเติบโต
ความอิจฉาริษยาฆ่าความสงบสุข
ความสงสัยฆ่าความมั่นใจ
(ถึงตอนนี้ให้อ่านจากขวาไปซ้าย)

Laziness kills ambition.
Anger kills wisdom.
Fear kills dreams.
Ego kills growth.
Jealousy kills peace.
Doubt kills confidence.
(Now read that from Right to Left)

Unknown

Photo by Jonny Gios on Unsplash

ที่มา  เพจมนษิธาร  Monsitharn

        (บ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา เดิม)