ขันธ์มันก็ปรุงนั่นนี่ไปตามเรื่องตามราวของมัน
แล้วจิตก็หดตัวเข้าไปควบรวมกับความปรุงแต่งนั้น
(มองอีกมุมคือ ความปรุงแต่งหรือกิเลสมันครอบงำจิต)
ทำให้เสียความรู้ตื่นเบิกบานไปชั่วคราว
.
แต่ถ้ารู้ทันความปรุงแต่งได้
จิตก็ยังมีความรู้ตื่นเบิกบาน
ไม่หดตัวไปรวมกับความปรุงแต่ง
.
ดูๆ ไป ที่ว่า กิเลสครอบงำจิต
กลายเป็นจิตโง่ ไม่มีปัญญา
จึงหดแคบลงไปอยู่ในกิเลส ที่ขันธ์มันปรุงขึ้นมา
กิเลสมันดึงดูดได้แต่จิตโง่ๆ เท่านั้น
ถ้าขณะใดจิตมีปัญญา
มันก็ดึงดูดจิตไม่ได้ จิตก็จะเป็นอิสระ
.
สังเกตดูก็เห็นว่า ก่อนจะเกิดกิเลส
มันจะเกิดภาพในใจเป็นเรื่องราวขึ้น
หลังจากมีการกระทบอารมณ์ทางทวารต่างๆ
แล้วกิเลสก็เกิด
จิตที่เคยเบิกบาน ก็กลายเป็น
หดลงไปควบรวมคับแคบอยู่กับกิเลส
.
พุทธะ จึงได้แปลว่า รู้ ตื่น เบิกบาน
ถ้าคับแคบก็ไม่ใช่พุทธะ
“แค่รู้” นี่แหละคือหลักที่สำคัญที่สุด
ถ้า”แค่รู้” ได้ ก็ไม่ถูกกิเลสครอบงำ
ถึงที่สุดก็เหลือแค่อยู่กับ "รู้"
อย่างที่หลวงปู่ดูลย์บอกว่า ท่านอยู่กับรู้เท่านั้น
แต่เรามักจะไม่ใช่ ”แค่รู้ “
แต่ไปอยู่กับดิ้นรนทำนั่นนี่
เพื่อจะเอาชนะกิเลส
ที่มา : สนทนาธรรมตามกาล
หลังไมค์กับอุบาสกสุรวัฒน์ เสรีวิวัฒนา
๘ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๖๕
เครดิต FB Boto Bow
Image by focusonpc from pixabay
ที่มา : เพจบ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น