"นิพพาน" แปลว่าใจที่ปกติ-สงบเย็น


"นิพพาน" แปลว่าใจที่ปกติ-สงบเย็น
ไม่ไหลไปตามความพอใจและความไม่พอใจ
คนที่มีจิตใจเช่นนี้ เรียกว่า "คนมีศีล-มีธรรม"
.
ศีล
ไม่ได้หมายถึงศีล ๕ ข้อ ศีล ๒๒๗ ข้อ
เพราะนั่นเป็นศีลสังคม
.
ศีลในที่นี้มีเพียงข้อเดียว
เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่ต้องรักษากันจริง ๆ จัง ๆ
คือให้รักษาใจ เป็นศีลใจ
.
ใครรักษาได้ ก็ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น
มีจิตใจปกติ
เพราะเมื่อจิตใจปกติแล้ว เราก็ไม่ไปฆ่าสัตว์
ไม่ลักทรัพย์ ไม่อยากได้ของใคร
ไม่ผิดลูกเมียใคร
เมื่อใจปกติ กาย-วาจาก็พลอยปกติไปด้วย
คนเช่นนี้ เรียกว่า "คนมีศีลธรรม คนมีบุญ"
คนมีบุญจะไม่ฆ่า "สัจจ์" ของตัวเอง
เพราะสัจจ์นี้ เป็นธรรมะที่ทำให้คนเป็นพระ
สัจธรรมนี้มีอยู่ในจิตใจของคนทุกคน
ความเป็นพระที่แท้จริงนี้ เป็นกันที่จิต
มองไม่เห็น แต่กำจัดกิเลสได้จริง
หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ

ที่มา  เพจมนษิธาร  Monsitharn

        (บ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา เดิม)

15 ก.ย..68 

 

ธรรมชาติแท้จริงของจิต


“กราบคารวะท่านอาจารย์
เราจะรู้จักธรรมชาติแท้จริงของจิตนี้ได้อย่างไร?”
.
คุรุปัทมสัมภวะยิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วกล่าวว่า
“เมื่อเธอไม่วิ่งตามความทรงจำในอดีต
ไม่คาดหวังภาพฝันในอนาคต และไม่ยึดติดกับความรู้สึกของปัจจุบัน
แต่เพียงแค่คงอยู่ในความรู้ตัวอันบริสุทธิ์ ณ ขณะนั้นเอง
เธอได้สัมผัสธรรมชาติแท้จริงของจิตแล้ว สิ่งนี้ไม่อาจเข้าใจได้ด้วยความคิด
แต่เข้าถึงได้ด้วยประสบการณ์ตรงเท่านั้น”
.
ท่านกล่าวต่อว่า
“ระหว่างการภาวนา อย่าได้แสวงหาประสบการณ์พิเศษหรือสภาวะพิเศษใดๆ
จงเพียงพักอยู่ในความรู้ตัวของปัจจุบัน มองดูการเกิดขึ้นและดับไปของความคิด
แต่ไม่ต้องตามมันไป มันก็เหมือนกับการนั่งอยู่ริมแม่น้ำ
มองน้ำที่ไหลไปเรื่อยๆ น้ำยังคงไหลไป แต่เธอไม่ได้ถูกพัดพาไปกับมัน”
เมื่อเวลาผ่านไป
“เธอจะค้นพบว่า เบื้องหลังความคิดทั้งหลาย
มีการรู้ที่นิรันดร์อยู่ และนั่นแหละคือธรรมชาติแท้จริงของเธอเอง”
ท่านคุรุปัทมะสัมภวะ
Guru rinpoche

ที่มา  เพจมนษิธาร  Monsitharn

        (บ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา เดิม)

15 ก.ย..68 


 

คุณต้องเห็นด้วยตนเอง


ท่านกฤษณมูรติเคยกล่าวไว้ว่า
"สมัยพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่
(คำสอนของพระองค์เปรียบเหมือน)
เปลวเพลิงที่ลุกโชน สว่างไสว
พระองค์ตรัสไว้มิใช่เพื่อให้เคารพบูชา
แต่เพื่อปลุกจิตที่หลับใหลให้ตื่นขึ้นมา
แต่เมื่อพระองค์ปรินิพพาน
เปลวเพลิงนั้นก็ถูกบันทึกไว้เป็นถ้อยคำ
และถ้อยคำเหล่านั้นก็ถูกแปรเปลี่ยนเป็นคัมภีร์
วัดวาอารามถูกสร้างขึ้น
พระพุทธรูปถูกสร้างขึ้น
มีการกระทำพิธีกรรมต่างๆ ต่อๆ มา
และแก่นแท้ก็ค่อยๆ จางหายไป
ท่านกฤษณมูรติเตือนเราว่า
"พระพุทธเจ้าที่แท้จริงไม่ได้อยู่
ในหนังสือหรือรูปเคารพ
แต่อยู่ในการตื่นรู้แห่งสติสัมปชัญญะ
ของตัวคุณเอง
คุณไม่สามารถติดตามผู้อื่นไปสู่สัจธรรมได้
แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ตาม
คุณต้องเห็นด้วยตนเอง
ไม่ใช่ด้วยการจดจำ แต่ด้วยการมองเห็น"
โพสต์โดย Carlos Ramirez
Krishnamurti once said, "When the Buddha lived,
there was a living flame, direct, vibrant, alive. He spoke not to be worshipped,
but to awaken the sleeping mind. But the moment he died, that fire was captured in words, and these words were turned into scriptures. Temples were built, statues erected, rituals repeated, and slowly, the essence faded. Krishnamurti reminds us, "The real Buddha is not in the books or images, but in the awakening of your own awareness. You cannot follow another to truth. Not even the Buddha.
You must see for yourself. Not remember, but see."

ท่านกฤษณมูรติ

ที่มา  เพจมนษิธาร  Monsitharn

        (บ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา เดิม)

15 ก.ย..68 






 

เราปฎิบัติมา เพื่อ ไม่เป็นทาสสิ่งใดๆ


เมื่อใดก็ตามที่เรายึดสิ่งต่างๆ ว่าเป็นเรา
เราจะมีความคาดหวังดังกล่าวลึกๆ อยู่ในใจ
เมื่อยึดว่าร่างกายนี้เป็นของเรา.....
เราก็จะมีความคาดหวังว่าร่างกายนี้
จะเจ็บป่วยไม่ได้ จะแก่ไม่ได้
ฉะนั้น เมื่อเกิดเจ็บป่วยขึ้นมา
หรือเห็นผิวเหี่ยวย่นผมหงอก
เราจะทุกข์ทันที เพราะว่ามันสวนทาง
กับความคาดหวังหรือความยึดติดของเรา
.
ความคิดของเรา ความรู้ของเรา
อ่านหนังสือมาก็ยึด
ว่าเรารู้ เราเข้าใจ เราเข้าถึง
อารมณ์ความรู้สึกว่าเป็นเรา
ต้องอย่างนู้นอย่างนั้น
แม้นหลักทฤษฎีที่รู้มา
และ การปฎิบัติที่เคยมีมา
มันเป็นแค่อากาศ
เป็นพลังงานสะสมหรือโปรแกรม
.
พยายามจะเฝ้าทรงรักษา
หรือ หาคำตอบ ทั้งชีวิต
มันไม่สามารถหลุดพ้นหรือผ่านสิ่งเหล่านี้
ก็จะหาคำตอบ ทรงรักษา สืบต่อไป
สู่ชาติต่อไปต่อๆ ไป
.
ไม่เจอนิพพานหรอก ใจไม่หยุดหา
ตัณหาพาไป
ใจเป็นผู้พาไปเกิดตาย
มานับไม่ถ้วนเลย
.
ลองรู้ เฉยๆ แต่ไม่ยึดเอาเนื้อหา
ผ่านมาผ่านไปเหมือนลมหายใจ
ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข มันเป็นเช่นนั้นเอง
.
เราปฎิบัติมา เพื่อ ไม่เป็นทาสสิ่งใดๆ
ในรูปนี้ นามนี้
แต่ลองเช็คดู ตอนนี้เราไปยึดอะไรเป็นเรา
มันย้อนกับธรรมที่เราเข้าใจไหม?
คำว่า
สักแต่ว่า เห็น สักแต่ว่าได้ยิน
สักแต่ว่า รู้ สักแต่ว่าคิด
นั้นไม่มีใครเป็นเจ้าของอะไรเลยนะ
จึง ไม่มียาก และ ง่าย
รู้สึก เป็น เพียงแค่ความรู้สึก
ที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของความรู้สึกนั้น
พระอาจารย์ปกรณ์นันทน์ ฐิตธัมโม
ภาพ orient-express / tumblr.com

ที่มา  เพจมนษิธาร  Monsitharn

        (บ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา เดิม)

15 ก.ย..68 


 

ชีวิตที่สูงส่ง


สำหรับพุทธศาสนา
ชีวิตที่สูงส่ง คือชีวิตที่กอปรด้วย
ปัญญาและกรุณา
.
ปัญญา คือความรู้ความเข้าใจ
ความจริงของชีวิต
จะเป็นอิสระจากความผันผวน
ปรวนแปรของโลกได้
ส่วนกรุณา คือความรักความปรารถนาดี
ต่อสรรพชีวิต โดยไม่เลือกที่รักมักที่ชัง
และไม่คำนึงถึงประโยชน์ส่วนตน
อุดมคติดังกล่าวมักถ่ายทอด
ผ่านพระพุทธรูปซึ่งเป็นตัวแทน
ของบุคคลที่พัฒนาตนจนถึงอุตมภาวะ
อย่างเต็มศักยภาพแห่งความเป็นมนุษย์
.
วิหารอานันทะในเมืองพุกาม ประเทศพม่า
เป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูป
เก่าแก่ที่มีอายุนานนับพันปี
หนึ่งในสององค์นั้นนักท่องเที่ยวชาวไทย
เรียกว่า “พระยิ้ม - บึ้ง”
เนื่องจากหากมองไกล
จะเห็นพระพักตร์แย้มยิ้ม
แต่ถ้าเดินเข้าไปใกล้ๆ จะพบว่า
รอยยิ้มแปรเปลี่ยนไป
ตามสายตาของคนส่วนใหญ่
ภาพที่เห็นคือพระพักตร์ที่ “บึ้ง”
.
แท้จริงหากมองอย่างพินิจ
พระพักตร์ที่มองจากมุมใกล้นั้น
หามีอาการบึ้งไม่
หากเป็นพระพักตร์ที่สงบต่างหาก
จะถูกต้องกว่า หากเรียกพระพุทธรูปองค์นี้ว่า
“พระยิ้ม - สงบ”
เหตุใดพระพุทธรูปองค์เดียว
จึงมีสองลักษณะเมื่อมองจากต่างมุม
คำตอบน่าจะเป็นเพราะช่างโบราณนั้น
ประสงค์ที่จะแสดงพุทธคุณสองประการ
อันเป็นอุดมคติของมนุษย์ ได้แก่
พระกรุณาคุณ และพระปัญญาคุณ
.
พระกรุณาคุณนั้นแสดงออกด้วย
พระพักตร์ที่แย้มยิ้ม
เปี่ยมด้วยความรักต่อสรรพชีวิต
ใครที่รอนแรมจากที่ไกล
เมื่อได้เห็นย่อมรู้สึกอบอุ่นใจ
ใครที่มีความทุกข์ใจ
ย่อมมีความหวังว่าจะได้รับ
การปกปักรักษาจากพระองค์
.
ส่วนพระปัญญาคุณนั้นแสดงออก
ด้วยพระพักตร์ที่สงบนิ่ง
เมื่อมองจากมุมใกล้
เป็นอาการของผู้รู้แจ้งความเป็นไปของโลก
จึงไม่หวั่นไหวในสุขหรือทุกข์
โลกธรรมไม่ว่าบวกหรือลบ
จึงไม่สามารถทำอะไรพระองค์ได้
.
ผู้ใดที่พินิจพระพุทธรูปพระองค์นี้
ด้วยใจที่ใคร่ครวญ
ย่อมตระหนักชัดว่า
สิ่งที่พึงยึดถือเป็นอุดมคติของชีวิตนี้
ก็คือการบ่มเพาะปัญญาและกรุณา
ให้เจริญมั่นคงในใจ
เพราะเราจะพ้นทุกข์ได้ก็ต่อเมื่อ
มีปัญญารู้แจ้งความจริงของชีวิตว่าไม่เที่ยง
เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
จึงไม่ยึดติดในโลกหรือสังขารทั้งปวง
และเมื่อพ้นทุกข์ ละวางตัวตน
ไร้ซึ่งความเห็นแก่ตัวทั้งปวง
จึงมีจิตกรุณาต่อสรรพสัตว์
ไม่มีที่สุดประมาณ
ปรารถนาช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์
พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล
ชมภาพ "พระในวิหารอนันดาหรืออานันทะ"

ที่มา  เพจมนษิธาร  Monsitharn

        (บ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา เดิม)

15 ก.ย..68 


 

ภัยแห่งการติดสุข


...ที่เกิดความวุ่นวายทั้งบ้าน ทั้งเมือง
และทั้งโลก ก็เพราะเรื่องเวทนานี้แหละ
โลกจึงหาสันติไม่ได้ เช่นนักการเมือง
ก็ต้องหาเวทนาที่เป็นสุข
เพื่อเอามาปรนเปรอตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ
คนไหนได้เข้าไปก็เข้าไปทำธุรกิจ
เมื่อก่อนบ้านก็เหมือนกับชาวบ้านทั้งหลาย พอได้เป็นผู้แทนราษฏร
เป็นรัฐมนตรี เป็นนายกรัฐมนตรี
ต้องบ้านใหญ่ รถใหญ่
อะไรๆ ก็ใหญ่ไปหมด นี่เพราะอะไร
ก็เพราะสุขเวทนา – ความพอใจนี้เอง
เมื่อเป็นเช่นนี้
เราก็ต้องระวังจิตอยู่ตลอดเวลา
ในทุกๆ ทาง ไม่เข้าไปยึดถือสุขเวทนานั้น
จิตที่ฉลาดจะเห็นว่าเวทนา เกิด-ดับ
เป็นอนิจจัง เป็นอนัตตา เป็นสุญญตา
ว่างจากตัวตนเป็นขณะๆ ไป
ดูแล้วตัวสุขเวทนานี้แหละ
ที่หลงไม่รู้จักจบจักสิ้น
...หลงกันจนตาย เมื่อไหร่จะหายหลงกันสักที
หลวงพ่อเอี้ยน วิโนทโก
สำนักวิปัสสนาวังสันติบรรพต จ.พัทลุง
บางตอนจากหนังสืออยู่กับจิตว่าง
ภาพ Pinterest

ที่มา  เพจมนษิธาร  Monsitharn

        (บ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา เดิม)

15 ก.ย..68 


 

ความสงบสุข


ความสงบสุขไม่ได้หมายถึง
สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อชีวิตสมบูรณ์แบบ
แต่หมายถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
เมื่อคุณหยุดเรียกหาความสมบูรณ์แบบ
"Peace isn’t what happens when life is perfect;
it’s what happens when you stop demanding perfection."
— Digital Wellness

ที่มา  เพจมนษิธาร  Monsitharn

        (บ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา เดิม)

15 ก.ย..68 


 

ได้บรรลุถึงวิธีการดำรงอยู่ อย่างไม่มีทุกข์


ปัญหาที่แท้จริงอยู่ที่
ตัวความปรารถนานั้นนั่นเอง
ถ้าสามารถทำความเข้าใจให้แจ้งชัด
รู้ถึงเหตุปัจจัยการปรุงแต่งของมัน
หรือ รู้รากเหง้าของมัน
ธำรงจิตเสียใหม่ให้ถูกต้อง
ธำรงจิตให้อยู่โดยประการที่
ความทุกข์ไม่อาจท่วมทับได้
โดยประการที่เหตุปัจจัยทั้งหลาย
ไม่อาจปรุงแต่งจิต ให้หลงโง่เขลาได้
ดังนี้แล้ว ก็เป็นอันว่า
ได้บรรลุถึงวิธีการดำรงอยู่
อย่างไม่มีทุกข์โดยสิ้นเชิง
เหลือภารกิจโดยธรรมดาอยู่อย่างเดียว
คือการดูแลรักษาขันธ์นี้ต่อไป
จนกว่าจะสิ้นอายุขัย
เมื่อมันต้องการอาหารก็หาให้
เมื่อมีโรคภัยก็เยียวยารักษาไปดังนี้แล
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
ภาพ Pinterest

ที่มา  เพจมนษิธาร  Monsitharn

        (บ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา เดิม)

15 ก.ย..68 


 

กายนี้แตกสลายได้ง่าย


กายนี้แตกสลายได้ง่าย
ไม่จีรัง เป็นรังแห่งโรค
ต้องคอยบำบัดอยู่เสมอๆ
ตั้งอยู่ได้ไม่เกินร้อยปี
.
เป็นตัวล่อหลอกให้หลงทำกรรมชั่วมากมาย
ก็เพราะยึดติดในกายนี้ หวังให้กายนี้เป็นสุข
.
มัวเมาอยู่กับกาย ใจก็จมอยู่
ยากยิ่งที่จะเห็นความจริงของชีวิต
.
มันหลงสมมติ
สมมติว่าตาแบบนี้สวย
จมูกแบบนี้ดูดี ต้องปากอย่างนี้
รูปหน้าผิวพรรณอย่างนั้น
เป็นเรื่องที่มนุษย์คิดเอาเอง
ธรรมชาติจริงๆ สัจจธรรมจริงๆ
ไม่ได้ว่าเป็นอะไร เพียงแค่เป็นอย่างนั้นเอง
.
พระอาจารย์เจษฎา คุตฺตจิตฺโต
ภาพ Pinterest

ที่มา  เพจมนษิธาร  Monsitharn

        (บ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา เดิม)

15 ก.ย..68