เรากำลังบังคับอะไรอยู่ไหม


พยายามตั้งมั่น เป็นหนึ่ง ไม่เปลี่ยนแปลง
หรือ
ทุกสิ่งบังคับบัญชาไม่ได้
เห็นตามความเป็นจริง
หรือ
เรากำลังสะกดจิตตัวเองอยู่
ลองสังเกตตนเองดู
เมื่อไหร่เห็นแต่ความเปลี่ยนแปลง
บังคับบัญชาไม่ได้ จึงจะรู้ว่า
อัตตาหรือเรา นั้นหายไป
ไม่เคยมีตั้งแต่แรก
เรากำลังบังคับอะไรอยู่ไหม
พระอาจารย์ปกรณ์นันทน์ ฐิตธัมโม
ภาพ Pinterest

ที่มา  เพจมนษิธาร  Monsitharn

        (บ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา เดิม)

15 พ.ย.68 

 


 

การปล่อยวางคือกุญแจ


การปล่อยวางคือกุญแจ
ไขไปสู่อำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในจักรวาล
Nonresistance is the key
to the greatest power in the universe.
Eckhart Tolle

ที่มา  เพจมนษิธาร  Monsitharn

        (บ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา เดิม)

15 พ.ย.68 


 

คุรุคือธรรมชาติของจิตเราเอง


คุรุคือธรรมชาติของจิตเราเอง
หากเราตระหนักรู้ธรรมชาติของจิตได้แล้ว
ก็ไม่จำเป็นต้องมีคุรุภายนอกอีกต่อไป
หากการเข้าใจธรรมชาติจิตนั้นดำรงอยู่
ทั้งในสมาธิและนอกสมาธิ
คุรุนั้นก็อยู่เหนือการพบและการจาก
ลามะดิลโก รินโปเช
Guru is the nature of our mind.
If we have realized the nature of mind,
there is no need for an external guru.
If comprehension of [the nature of] the mind is maintained
in and out of meditation,
then the guru is beyond meeting and parting.
Dilgo Khyentse Rinpoche
ภาพ Pinterest

ที่มา  เพจมนษิธาร  Monsitharn

        (บ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา เดิม)

15 พ.ย.68 


 

ภัยแห่งความพอใจ


เทวดาพวกหนึ่ง
มาเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
ที่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี
เทวดาผู้หนึ่งได้กราบทูลว่า
“กามทั้งหลายในหมู่มนุษย์ที่เที่ยงย่อมไม่มี
ผู้ใดยังข้องอยู่ ยังประมาทอยู่ในอารมณ์
อันเป็นที่ตั้งแห่งความใคร่
ผู้นั้นย่อมไปไม่ถึงนิพพาน
อันเป็นที่ไม่ต้องเวียนเกิดเวียนตาย
ความคับแค้นเกิดจากความพอใจ
ความทุกข์เกิดจากความพอใจ
เมื่อพรากความพอใจเสียได้
ก็เป็นอันพรากความคับแค้นเสียได้
เมื่อพรากความคับแค้นได้
ก็เป็นอันพรากความทุกข์ได้
สิ่งสวยงามทั้งหลายในโลกนี้มิใช่กาม
ความกำหนัดเพราะความดำริ
ต่างหากเล่า…เป็นกามของคน
เมื่อนักปราชญ์พรากความพอใจ
ในกามนั้นเสียได้แล้ว สิ่งสวยงามทั้งหลาย
ก็คงดำรงอยู่อย่างนั้นเอง (ไม่อาจกวนใจได้)
บัณฑิตพึงละความโกรธ
พึงละมานะเสีย
พึงล่วงพ้นสังโยชน์ทั้งปวงเสีย
ทุกข์ทั้งหลายย่อมไม่ตกถึง
(หรือไม่ติดตาม) ท่านผู้เช่นนั้น
ซึ่งไม่ข้องในนามรูป ไม่มีความกังวลใดๆ
ผู้ใดละบัญญัติได้ ไม่ติดมานะ
ตัดตัณหาในนามรูปนี้ได้แล้ว
พวกเทวดาและมนุษย์
ในโลกนี้หรือในโลกอื่น
เที่ยวค้นหาอยู่ก็ไม่พบบุคคลนั้น
ผู้ตัดเครื่องผูกได้แล้ว
ไม่มีทุกข์ ไม่มีตัณหา”
พระโมฆราช
(สาวกองค์หนึ่งของพระผู้มีพระภาคเจ้า)
กล่าวว่า
“ถ้าพวกเทวดา
มนุษย์ทั้งในโลกนี้และโลกอื่น
ไม่สามารถพบพระขีณาสพเช่นนั้น
ซึ่งเป็นผู้สูงสุดในหมู่ชน
ผู้บำเพ็ญประโยชน์เพื่อปวงชน
ผู้หลุดพ้นแล้ว
เทวดาและมนุษย์ใด
ย่อมนอบน้อมแด่พระขีณาสพนั้น
เทวดาและมนุษย์นั้น
ควรได้รับการสรรเสริญโดยแท้”
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
“เทวดาและมนุษย์เหล่านั้น
ควรได้รับการสรรเสริญโดยแท้
แต่พวกเทวดาและมนุษย์เหล่านั้น
เมื่อรู้ธรรมแล้ว ละความสงสัยได้แล้ว
ก็จะล่วงพ้นธรรมเป็นเครื่องข้อง
(คือหลุดพ้น) ได้เช่นเดียวกัน”
๑๕ สามารถหลุดพ้นได้เช่นเดียวกัน*
* นสันติสูตร
(พระพุทธภาษิต : พระไตรปิฎก เล่ม ๑๕ ข้อ ๑๐๕)
อาจารย์วศิน อินทสระ
ภาพ The Bridge towards awareness

ที่มา  เพจมนษิธาร  Monsitharn

        (บ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา เดิม)

15 พ.ย.68 


 

"การปล่อยวางได้" เป็นบุญที่สูงที่สุด


"การปล่อยวางได้" ของจิตใจของเรา
อันนี้มันเป็นเนื้อหาของ "บุญ"
เป็นบุญที่สูงที่สุดเลย
เพราะอะไร?
เพราะบุญที่สูงสุดก็คือตัวปัญญานี่เอง
ตัวที่มันมาช่วยขัดเกลาจิตเรา
ตัวที่มันมาช่วยดับทุกข์ในใจเรา
เนื้อหาของความเป็นพระพุทธเจ้าก็อยู่ตรงนี้เลย
.
พระอาจารย์ครรชิต สุทฺธิจิตฺโต
วัดป่าภูไม้ฮาว จ.มุกดาหาร
ภาพ Pinterest

ที่มา  เพจมนษิธาร  Monsitharn

        (บ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา เดิม)

15 พ.ย.68 


 

ท่านให้เป็น "ผู้เห็นความสงบ"


หลวงพ่อเทียนท่านไม่เน้นให้
"ทำความสงบ"
ท่านให้เอาความสงบทิ้งไปเลย
เพราะความสงบอยู่คนละด้านของสติ
ท่านให้เป็น "ผู้เห็นความสงบ"
ถ้าจะสงบก็ "สงบแบบรู้"
หลวงพ่อเทียนเน้นย้ำมากว่า :
การฝึกสติ ไม่ใช่เพื่อความสงบ
ถ้าสงบแล้วขาดสติ
สู้จิตฟุ้งซ่านแล้วมีสติไม่ได้
ฟุ้งซ่านแล้วมีสติ
จะทำให้เกิดปัญญา
เห็นความฟุ้งซ่าน ไม่เที่ยง
เห็นความฟุ้งซ่านไม่ใช่เรา
การทำความสงบนั้นยาก
เพราะต้องบังคับจิตให้สงบ
แต่ธรรมชาติของจิตมันชอบคิด
แต่การรู้ทันอารมณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่บังคับ
นั่นคือวิปัสสนา
คือการเห็นแจ้งในสิ่งที่ปรากฏ
มันง่ายที่สามารถทำได้แม้แต่ขณะนี้
.
อ.กำพล ทองบุญนุ่ม
ภาพ The Bridge towards awareness

ที่มา  เพจมนษิธาร  Monsitharn

        (บ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา เดิม)

15 พ.ย.68 

 

 

โลกียสุขเป็นความสุขที่คับแคบ


“ในพระสูตรพระสูตรหนึ่ง พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า พระตถาคตจะสอนเธอทั้งหลายถึงเรื่องทั้งหมด
.
“เรื่องทั้งหมด” คืออะไร?
รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ เหล่านี้ คือ “ทั้งหมดในชีวิตของมนุษย์”
อาตมาได้ฉุกคิดทันที สำนึกตัวเลยว่า การหาประสบการณ์ชีวิตของเราเป็นแค่“การสะสมสัญญา”เท่านั้น
.
ที่เราได้เห็นอะไรๆแปลกประหลาดหลายอย่าง สิ่งที่สวยงาม เช่น พระอาทิตย์ขึ้นจากยอดภูเขาหิมาลัย พระอาทิตย์ตกที่ทะเลอันดามัน สิ่งที่ทั้งน่าเกลียดและน่าสงสาร อย่างเช่น กลุ่มคนพิการ ขอทาน ในเมืองกัลกัตตา ฝูงหมาแย่งไส้ของซากเด็กริมแม่น้ำคงคา ฯลฯ ทั้งหมดที่ได้เห็นมาก็สักแต่ว่า“รูป”เท่านั้นเอง
.
สิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่เราได้ยิน เช่น เสียงอิหม่ามเรียกชาวมุสลิมไปสุเหร่า ดนตรีอินเดียที่แสนละเอียดลึกซึ้ง เสียงนกยูงร้องหากันในยามพลบค่ำชานหมู่บ้านกลางทะเลทราย เสียงที่ประทับใจที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนมีเยอะ แต่ทั้งหมดนั้นสักแต่ว่า “เสียง” เท่านั้น
.
กลิ่นหอมกระสอบเครื่องเทศในตลาด กลิ่นเหม็นควันจากโรงงานในเมืองอุตสาหกรรม ก็สักแต่ว่า “กลิ่น” เท่านั้น
.
รสอาหารอิหร่าน อาหารตุรกี อาหารอินเดียเหนือ อาหารอินเดียใต้ ก็เป็นแค่ “รส” เท่านั้นเอง
.
ลมฤดูใบไม้ผลิในภูเขาแอลป์ โชยลูบไล้ใบหน้า ความแน่นขนัดในรถไฟอินเดีย ฯลฯ ก็สักแต่ว่า “โผฏฐัพพะ” คือความเย็น ร้อน อ่อน แข็ง เท่านั้น
.
ความนึกคิดต่างๆ ความคิดดี คิดชั่ว ความตื่นเต้น ความเบื่อระอา ความกลัว ความกล้า จินตนาการ ก็สักแต่ว่า “ธรรมารมณ์” เท่านั้น
.
รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ที่สัมผัสแล้ว เดี๋ยวนี้สิ่งเหล่านั้นไปอยู่ที่ไหนกัน? อาตมาถามตนเอง ได้คำตอบว่า “เหมือนความฝัน” เหลือแต่ความทรงจำคือ “สัญญา” (ความจำได้หมายรู้)
.
อาตมาประจักษ์อยู่กับใจว่า จะไปไหนต่อไปก็ไม่ได้อะไรมากกว่านี้ เที่ยวประเทศไหน ก็คงเห็นแต่ของเก่า คือรูป ได้ยินแต่ของเก่า คือเสียง ได้ดมแต่ของเก่า คือกลิ่น ไปรับประทานอาหารที่ไหน อาหารอินเดีย อาหารไทย อาหารเวียดนาม อาหารอะไรก็แล้วแต่ รับประทานอะไรลงไปแล้วก็ได้แค่รส ไม่มีอาหารที่ใดในโลกนี้ที่พ้นจากความเป็นรสไปได้
.
อาตมาจึงรู้สึกว่าการท่องเที่ยวพอแล้ว ปัญญาที่จะได้จากการแสวงหาต่อไปคงยังผิวเผิน ความสุขที่จะได้ก็ยังกวัดแกว่ง ปัญญาและความสุขที่เราต้องการอยู่ภายในมากกว่า
.
อาตมารู้สึกเหมือนกับคนที่อยู่ในประเทศที่กำลังจะจมน้ำ ซื้อรถเบนซ์หรือบีเอ็มเพื่อจะหนี รถวิ่งเร็วดีเป็นที่พอใจ แต่เมื่อทราบว่าไปที่ปลอดภัยต้องข้ามทะเล ก็รู้ทันทีว่าพาหนะนี้ใช้ไม่ได้ ยังชมอยู่ว่าเป็นรถเก๋งที่ดี เพียงแต่ว่าไม่ตรงกับความต้องการของเราเท่านั้น เพราะอีกไม่นานน้ำก็จะท่วมถนน รถเก๋งไปไม่ถึง
.
ในการหาความสุขที่แท้จริง อาตมาได้ข้อคิดว่าต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่ ต้องหาเรือหรือแพข้ามทะเล
.
เมื่อเราเห็นว่าความสุขที่ได้จากประสบการณ์ คือการสัมผัสกับรูป รส กลิ่น เสียง เหล่านี้ เป็นความสุขที่คับแคบ มีขีดจำกัด มีช่วงอายุสั้นมากอย่างนี้ “สัมมาทิฐิ” และ “ฉันทะ” ที่จะหาความสุขที่ประณีตกว่านั้น ที่เลิศประเสริฐกว่านั้นจึงเกิดขึ้น
.
การที่จะเลิกดิ้นรน เลิกกระสับกระส่าย กระวนกระวายกับ “โลกียสุข” นั้น ไม่ใช่ของยากจนเกินไป แต่ผู้ที่ทำได้คือ เห็นข้อบกพร่องของมัน จึงเกิดความต้องการความสุขที่สูงกว่า ประณีตกว่า และปราศจากโทษ
.
ที่อาตมาได้ยกเรื่องความสุข เรื่องปัญญามาคุยที่นี่ ก็เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์ และเพราะเสียดายว่า ทุกวันนี้พุทธศาสนิกชนในเมืองไทยกำลังขาดความสุขที่ควรจะได้จากบุญที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ในเมืองพุทธ ถึงจะมีเรื่องอื้อฉาวเกิดขึ้นในสถาบันสงฆ์บ่อยๆ นั่นเป็นเรื่องของคน ไม่ใช่เรื่องของธรรม อย่าพึงให้กิเลสอ้างความไม่ดีของคนอื่นสนับสนุนการไม่เอาไหนของตนเอง
.
คนเราจะปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติก็ตาม “อริยมรรคมีองค์ ๘” ไม่มีวันแปดเปื้อน กฎตายตัวของธรรมชาติยังมีอยู่เหมือนเดิมว่า การศึกษาและปฏิบัติตามหลักศีล สมาธิ และปัญญา เท่านั้น ที่จะนำเราไปสู่ที่เกษม ถ้าเราขาดธรรมะแล้วชีวิตไม่มีทางพ้นการเผาลนของ ไฟโลภ ไฟโกรธ ไฟหลง ได้เลย”
.
พระพรหมพัชรญาณมุนี (ฌอน ชยสาโร)
ที่มา : จากธรรมบรรยายหัวข้อเรื่อง “สุขเป็นก็เป็นสุข”
ภาพ Pinterest

ที่มา  เพจมนษิธาร  Monsitharn

        (บ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา เดิม)

7 พ.ย.68 

 

เราไม่จำเป็นต้องค้นหา


เราไม่จำเป็นต้องค้นหา
เพื่อให้พบตัวตนที่แท้จริงของเราเลย
เพราะเราเป็นอยู่แล้ว
และจิตที่ค้นหาตัวตนอันนั้น
คือสาเหตุแท้จริงที่ทำให้เราไม่พบมัน
We do not need to search in order to find our True Being.
We already are it. And the mind which searches for it
is the very reason we cannot find it.
Nisargadatta Maharaj
ภาพ Fb.The Bridge towards Awareness

ที่มา  เพจมนษิธาร  Monsitharn

        (บ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา เดิม)

7 พ.ย.68 


 

ความปรุงแต่งเป็นตัวร้ายกาจ


ความปรุงแต่งเป็นตัวร้ายกาจ
ตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น
ลิ้นกระทบรส กายกระทบสัมผัส
ตรงที่กระทบตรงนั้นไม่มีบุญไม่มีบาป เฉยๆ
มาเกิดกุศลอกุศลก็เกิดที่จิต
ตัวที่จะทำให้เราทุกข์
เลยไม่ใช่แค่ตามองเห็น หูได้ยิน
.
ตัวที่ทำให้เราทุกข์ก็คือตัวจิตนั้นมันปรุง
ปรุงแบบนี้มีความทุกข์ ปรุงแบบนี้มีความสุข
ปรุงอย่างนี้เป็นกุศล ปรุงอย่างนี้เป็นอกุศล
ปรุงแต่งทั้งวัน
.
ความปรุงแต่งนี้เป็นตัวร้ายกาจ
ลึกลงไปถึงที่สุดรากเหง้าของความปรุงแต่ง
ก็คือตัวอวิชชา
เราไม่รู้ความจริงของธาตุของขันธ์
เราเลยเกิดความเกิดขึ้นมา มีชีวิตขึ้นมา
มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจขึ้นมา
.
ทีนี้มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
แล้วไปกระทบอารมณ์อีก
จะห้ามการกระทบอารมณ์ห้ามไม่ได้
มีตาก็ต้องเห็นรูป มีหูก็ต้องได้ยินเสียง
มีจมูกก็ต้องได้กลิ่น มีลิ้นก็ต้องรู้รส
มีใจกระทบธรรมารมณ์ทั้งหลาย
โดยเฉพาะเรื่องราวที่ใจเราคิดขึ้นมา
เราห้ามไม่ได้
.
แต่พอมันกระทบอารมณ์แล้ว
ถ้าสติเราว่องไวพอ
ก็จบตรงที่การกระทบอารมณ์ ไม่ปรุงต่อ
ถ้าสติเราไม่ไวพอ ก็จะเกิดความปรุงแต่งต่อ
.
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
15 ตุลาคม 2566
ภาพ The Bridge towards Awareness

ที่มา  เพจมนษิธาร  Monsitharn

        (บ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา เดิม)

7 พ.ย.68