การพบสัจจะนั้นไม่จำเป็นต้องไปเสาะแสวงหา


การพบสัจจะนั้นไม่จำเป็นต้องไปเสาะแสวงหา 
หากแต่คือการเชื้อเชิญ
การมองเห็น “ปัญญาที่มีอยู่แล้วในตน”
ไม่ต้องรอคอย ไม่ต้องปรารถนา
เหมือนสายลมที่พัดโชยชื่นท่ามกลางลมร้อน
เราเพียงเปิดหน้าต่างเอาไว้เพื่อรับสายลมนั่น
ความรู้ตัวรู้ตนนี้ก็เฉกเช่นเดียวกัน
ไม่ต้องแสวงหาจากที่ใด
เพราะมันมีอยู่แล้วในตัวเราเอง
ขอเพียงนำสิ่งที่ไม่ใช่ปัญญาความรู้ออกไปจากจิต
จิตนั้นย่อมพร้อมเสมอทุกขณะที่จะเปล่งประกาย
และทํางานตามสภาพจิตเดิมแท้ของมันเอง

ท่านกฤษณะมูรติ

Image by Edyttka1388 from pixabay

ที่มา  : เพจบ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา







 

กุศล เกิดจาก กูสละ


พระอาจารย์คะ เพิ่งเข้าใจว่าปัญญากับบุญมันคนละเรื่องกันค่ะ 
.
พระอาจารย์ตอบ :  บุญมันคืออะไร 
บุญมันคือความอิ่มใจ ความผ่องใสของใจ
เราแบ่งปันความผ่องใสของใจให้กับคนอื่น 
แต่ปัญญามันคือกุศล กุศลมาจาก กุ+ศะละ 
คือกูสละนั่นแหละ  
คือ สละกูออกไปเนี่ย ได้กุศล 
สละกูคือ สละความเป็นตัวตน 
.
เพราะฉะนั้นทำบุญแล้วให้ได้กุศลทำยังไง 
คือสละของที่มันสำคัญว่าเป็นของตนเองออกไป
อันนี้ถึงเรียกว่าได้ทั้งบุญทั้งกุศล 
สละไปแล้วไม่สำคัญด้วยซ้ำ
ว่าเป็นเรา เป็นเขา เป็นของเราหรือเปล่า
.
ไม่ต้องไปตามว่าชั้นทำไปแล้ว
เกิดประโยชน์อะไรไหม เรื่องของมัน  
กูสละไปแล้ว อันนี้เขาเรียกว่ากุศล
คือกูสละ สละกู สละความยึดถือในความเป็นกู
ออกไปจากวัตถุเล็กๆ น้อยๆ เนี่ย พวกนี้แหละ
สละกูออกไปจากเงินจากทอง 
จากอะไรก็แล้วแต่ เนี่ยกูสละ
มันเป็นบุญเอง เป็นกุศลเองตามธรรมชาติ
.
แต่ถ้าเกิดทำแล้วมีความอิ่มใจ 
แล้วสำคัญในสิ่งเหล่านั้น ว่าชั้นได้ทำบุญ 
อันนั้นก็พอได้  ได้แค่บุญ ได้แค่ความอิ่มใจ 
แต่ก็ยังเป็นกูอยู่ดี  
เพราะยังสำคัญในสิ่งที่กูสละไป 
ก็คือของกู ที่กูสละไป
ก็ได้แค่ บุญ กับ กู วนเวียนไปเรื่อยๆ

 พระอาจารย์เจษฎา คุตฺตจิตโต

Image by Bru-nO from pixabay

ที่มา  : เพจบ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา