สภาวะนิพพาน


สภาวะนิพพาน
ในเซน มักมีคำกล่าวว่า "การเห็นและยึดติดเป็นของไม่จริง
การเห็นแต่ไม่ยึดติดเป็นนิพพาน"
.
คำอธิบาย: "การเห็น" ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงแค่ตา
แต่หมายถึงการรับรู้ทั้งหมด ได้แก่ การได้ยิน การรู้ การรู้สึก การคิด
.
เมื่อเห็น จิตจะเกิดความยึดติดในทันที
หากชอบก็อยากให้คงอยู่ หากเกลียดก็อยากผลักไส
หรือเริ่มแยกแยะและเปรียบเทียบ... นั่นแหละที่เรียกว่าความยึดติด
.
ความยึดติดนี้เองที่ก่อให้เกิดวัฏจักรแห่งความปลอม
สภาวะนั้นโดยเนื้อแท้แล้วไม่เที่ยง เป็นเหตุปัจจัยประกอบกัน
แต่จิตเข้าไปยึดติดเสมือนว่ามัน "มีอยู่จริง" ความทุกข์จึงเกิดขึ้น
.
ตัวอย่างเช่น หากเห็นดอกไม้แล้วไปยึดติดว่า
"งดงาม อยากรักษาไว้ให้อยู่ตลอดไปจัง"
เธอย่อมทุกข์เมื่อมันเหี่ยวเฉา สิ่งที่เป็นนั้นไม่ผิด
แต่ "จิตที่ยึดติด" นั้นเองที่เป็นความผิด
มีประโยคว่า “เห็นแล้วไม่อยู่ คือ นิพพาน” “ไม่อยู่”
หมายถึง จิตไม่ยึดติดในสภาวะ
ไม่ยึดติดในความชอบไม่ชอบ ไม่ยึดมั่นว่า “มีอยู่จริง”
.
ยังคงเห็น ยังคงได้ยิน แต่ชัดเจน ไม่ยึดติด ไม่พัวพัน
จิตเป็นอิสระและสงบ นี่คือสภาวะนิพพาน คือ สงบและสว่างไสว
ไม่ใช่ไม่มีอะไรเลย หากมีความตระหนักรู้อยู่โดยสมบูรณ์
และปราศจากทุกข์จากการยึดติด
.
เช่น เมื่อเห็นดอกไม้ ก็เห็นดอกไม้ตามที่ปรากฏในขณะนั้น
ไม่ยึดติด ไม่ผลักไส จิตสงบและผ่องใส
.
สรุปคือ การเห็นทำให้เกิดความยึดติด และมีการเกิดและการตายที่ไม่จริง
.
การเห็นอยู่ตรงนั้น แต่ไม่ยึดติด คือสภาวะแห่งนิพพานอันเป็นอิสระ
.
"การเห็นและยึดมั่น ก่อให้เกิดตาข่ายแห่งความหลงผิด
การเห็นและไม่ยึดมั่น คือสภาวะนิพพาน"

In Zen, there is often a saying, "Seeing and clinging is false,
seeing and not dwelling is Nirvana." Explanation:
"Seeing" here is not just the eye, but the whole perception:
hearing, knowing, feeling, thinking.
When you see, you immediately develop a mind of attachment:
if you like it, you want to hold on, if you hate it,
you want to push it away, or start to discriminate and compare...
that is called attachment.
It is this attachment that creates a cycle of falseness:
the scene is inherently impermanent,
a combination of causes and conditions,
but the mind clings to it as "really existing",
which gives rise to afflictions and suffering.
For example: if you see a flower and cling to it
as "beautiful, I want to keep it forever", you will suffer when it withers.
The scene is not wrong, but the "attached mind" gives rise to falseness.
"Seeing and not dwelling is Nirvana"
"Not dwelling" means the mind does not cling to the scene,
does not get stuck in likes and dislikes, does not fixate it as "really existing".
Still seeing, still hearing, but clearly,
not clinging, not entangled, the mind is free and at peace.
This is the state of Nirvana: quiet and bright,
not annihilation, but complete awareness
without suffering from attachment.
For example: seeing a flower, just seeing the flower
as it exists in that moment, not holding on,
not pushing it away. The mind is peaceful and clear.
In short:
Seeing gives birth to attachment, and there is false birth and death.
Seeing right there, not abiding, is the state of liberated Nirvana.
"Seeing and clinging, creates a net of delusion.
Seeing and not abiding, is the state of Nirvana."
Unknown

ที่มา  เพจมนษิธาร  Monsitharn

        (บ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา เดิม)

1 ต.ค.68 


 

ธรรมะปฏิบัติ ไม่ใช่เรื่องง่าย หรือยาก


ธรรมะปฏิบัติ
มันไม่ใช่เรื่องง่าย หรือยากหรอกนะ
มันเป็นเรื่องของการรู้จัก
สิ่งที่เรียกว่า 'ตัวเอง'
คือกายกับใจนี้เท่านั้นเอง
ไม่ใช่เรื่องที่ต้องเอาไปครุ่นคิดให้วุ่นวาย
.
ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
มีสิ่งกระทบเข้ามาแล้วรู้สึกอย่างไร
ให้เรียนรู้ความรู้สึกนั้น
คอยรู้เสมอๆ
ไม่ไปคอยปรุงแต่งเพิ่ม
ทั้งในทางชอบหรือชัง
.
เมื่อรู้บ่อยๆ เข้า ก็จะเห็นว่า
ความรู้สึกต่างๆ นั้น
มันจะเกิดก็เพราะมีเหตุ
ไปบังคับไม่ได้
เมื่อจะดับก็เพราะหมดเหตุเท่านั้นเอง
บังคับไม่ได้
ให้รู้เห็นอย่างนี้ จนเกิดปัญญา
ที่จะตัดสินความรู้นั้นว่า
มีเพียงบางสิ่งเกิด
และดับไปเท่านั้นเอง
ไม่มีตัวตนที่ถาวรเลย

พระอาจารย์เจษฎา คุตฺตจิตฺโต

ที่มา  เพจมนษิธาร  Monsitharn

        (บ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา เดิม)

1 ต.ค.68 
.


 

ขอเพียงเข้าใจจิตของตนเอง


เมื่อท่านโพธิธรรมเดินทาง
มาจากดินแดนตะวันตก
ท่านถ่ายทอดเพียงธรรมะแห่งจิต
ท่านชี้ให้เห็นอย่างตรงไปตรงมา
ว่าสรรพสัตว์ทั้งหลายล้วนเป็น
พุทธะโดยพื้นฐาน
และไม่จำเป็นต้องอาศัยการปฏิบัติธรรมใดๆ
ณ เวลานี้ ขอเพียงเข้าใจจิตของตนเอง
และมองเห็นธรรมชาติของตนเอง
ก็ไม่มีสิ่งอื่นใดให้ต้องแสวงหาอีกแล้ว
หากท่านยอมรับแนวทางแห่งพุทธะ
ซึ่งเป็นหลักคำสอนที่ท่านโพธิธรรมถ่ายทอด
ท่านจะไม่พูดถึงเส้นทางสู่การรู้แจ้งที่แตกต่าง
แต่แค่เพียงชี้ให้เห็นถึงจิตหนึ่ง
ซึ่งไร้อัตลักษณ์หรือความแตกต่าง
ไร้ซึ่งเหตุและผลใดๆ
ท่านฮวงโป
When Bodhidharma came from the Western Land
he transmitted only the dharma of mind.
He pointed directly to the truth that all sentient beings
are fundamentally buddha, and need not make use of religious practices.
At this very moment just grasp the understanding
of your own mind and see into your own nature. There is nothing else to seek.
If you accept the Buddha-path, which is the doctrine
transmitted by Bodhidharma, you will not speak of such things
as different paths to enlightenment but merely point to
the One Mind which is without identity or difference, without cause and effect.
-Huangbo Xiyun

ที่มา  เพจมนษิธาร  Monsitharn

        (บ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา เดิม)

1 ต.ค.68 
.


 

จงปฏิบัติต่อจิตใจของคุณเหมือนท้อง


จงปฏิบัติต่อจิตใจของคุณเหมือนท้อง
หยุดป้อนอาหารขยะ:
คือการนินทา ความคิดลบ และความกลัว
จงป้อนพลังบวก ป้อนความสงบสุข
ปัญญา และความกตัญญูให้กับจิตใจ
เพราะสิ่งใดที่คุณบริโภค...
นั่นแหละคือสิ่งที่คุณจะเป็น
Treat your mind like your stomach.
Stop feeding it junk: gossip, negativity and fear.
Feed it positivity, feed it peace, wisdom and gratitude.
Because what you consume... is what you become.
Unknown

ที่มา  เพจมนษิธาร  Monsitharn

        (บ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา เดิม)

1 ต.ค.68 


 

ท่านควรฝึกจิตใจด้วยการ "รู้" แล้ว "ปล่อย"


สงบจิต สว่างใจ
ท่านควรฝึกจิตใจด้วยการ "รู้" แล้ว "ปล่อย"
จิตที่รู้เรื่องอะไรแล้ว ไม่ยอมปล่อย
ก็ย่อม "ทุกข์"
.
ซึ่งธรรมแท้ๆ นั้นเป็นกลางๆ
ใครปล่อยวางได้ก็สบาย
.
ฝึกด้วยการมี "สติ" จับ "รู้"อยู่กับปัจจุบัน
ภายในใจในกายตนนั่นเอง
มิต้องไปแสวงหาที่แห่งอื่น
.
เมื่อท่านรู้ความจริงเช่นนี้แล้วว่า...
เหตุเกิดแห่งความสงบอยู่ที่ "จิตหนึ่ง" นั่นเอง
แล้วท่านจะมัวหาความสงบ
จากสถานที่แห่งใดกันเล่า
.
หลวงปู่ชา สุภัทโท
ภาพ Pinterest

ที่มา  เพจมนษิธาร  Monsitharn

        (บ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา เดิม)

1 ต.ค.68 

 

เมื่อเราเรียนรู้ที่จะปล่อยวาง


ต้นตอของความทุกข์ทั้งปวง
คือการยึดติด
พระพุทธเจ้าทรงเตือนเราว่า
ความเจ็บปวดของเรา
มักไม่ได้เกิดจากตัวชีวิตเอง
แต่เกิดจากการยึดติดกับผู้คน
ห้วงเวลา และวัตถุมากเกินไป
ยิ่งเราพยายามไปยึดมากเท่าไหร่
เราก็ยิ่งทุกข์มากขึ้นเท่านั้น
เมื่อเราเรียนรู้ที่จะปล่อยวาง
ความสงบสุขก็จะเริ่มหลั่งไหล
เข้ามาอย่างเป็นธรรมชาติ
การละวางไม่ได้หมายถึงความเฉยเมย
แต่หมายถึงอิสรภาพ
ความสุขที่แท้จริงและความสงบภายใน
จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ
เราปล่อยวางสิ่งที่ควบคุมไม่ได้
The root of all suffering is attachment.
Buddha reminds us that our pain often comes not from life itself,
but from clinging too tightly to people, moments, and things.
The more we try to hold on, the more we suffer.
When we learn to let go, peace begins to flow naturally.
Detachment doesn’t mean indifference—it means freedom.
It’s in releasing what we cannot control
that true happiness and inner calm are found.
เพจ Buddha's Teaching
ภาพ Pinterest

ที่มา  เพจมนษิธาร  Monsitharn

        (บ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา เดิม)

29 ก.ย..68 


 

อาหารของกิเลส


เกลียดกิเลสก็ไม่ถูกนะ
โกรธมันก็ไม่ได้เหมือนกัน
แม้จะหงุดหงิดกับมันก็ไม่ได้
เพราะจะทำให้กิเลสโตขึ้น พองขึ้น
กิเลสชอบกินอาหารของมันเหมือนกัน
ความยินดี และความยินร้าย
เป็นการบิดเบือนการพิจารณา
ทำให้การวินิจฉัยกลั่นกรองข้อมูล
ที่เรารับรู้นั้นผิดเพี้ยนไป
..
ความยินดีเกิดตรงไหน
พุทธศาสนาก็ขาดไปตรงนั้น
กลายเป็นคนนอกศาสนา
เป็นคนนอกรีต นอกทาง
คือขณะใดที่สติไม่คุ้มครองจิตใจของเรา
ศาสนาพุทธก็หายไปในขณะนั้น
..
จิตที่มีความสงบ มีความหนักแน่น
จะมีความรู้สึกอันหนึ่งที่แปลกๆ
จะมีความรู้สึกเบื่อหน่ายความยินดีและยินร้าย
มันก็คล้ายๆ กับว่า
เราขี้เกียจที่จะไปยินดี ยินร้ายกับมัน
...
จิตที่มีความสงบระงับ
เป็นผู้ที่มีความเกรงกลัว
และละอายต่อความประมาท
เราจะสามารถเห็นกิเลส
เป็นเครื่องเศร้าหมองของจิต
และเห็นว่า
กิเลสอยู่ได้ด้วยการอาศัยอาหาร
...
ถ้าเราเลี้ยงมันไว้ มันก็อยู่นาน
มันทรมานเรานาน
แล้วก็ทรมานผู้ที่อยู่รอบข้างเราด้วย
..
แต่ถ้าเราไม่เลี้ยงมันไว้
ด้วยความยินดีหรือยินร้าย
มันจะค่อยแห้งเหี่ยวไป
มันจะค่อยหมดไป
มันจะค่อยๆ หายไปจากจิตใจของเรา
_____________
เพื่อนนอก เพื่อนใน หน้า ๘๕
ใช้สาระ ชนะมาร เล่ม ๓ อยู่เย็น เป็นอยู่
จัดพิมพ์เป็นอาจริยบูชา
๖๐ พรรษา พระอาจารย์ชยสาโร

ที่มา  เพจมนษิธาร  Monsitharn

        (บ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา เดิม)

29 ก.ย..68