ละยินดียินร้ายง่ายนิดเดียว


..จริงๆ แล้วรูปนามมันก็อยู่ของมันอย่างนั้น
ทุกอย่างก็ไปตามหน้าที่ของเขา
เสียงก็ทำหน้าที่ของเสียง
แสงเขาก็ทำหน้าที่ของแสง
ลมเขาก็ทำหน้าที่ของลม
ไฟเขาก็ทำหน้าที่ของเขา ไม่มีอคติ
.
แต่เราไปตั้งไว้ว่า อย่างนี้เราชอบ
อย่างนี้ไม่ชอบ
ไอ้ตัวคิดนึกนั่นเอง ไปตั้งเอาไว้
พอได้ดั่งใจก็ชอบ
คิดว่าได้ไหม จริงๆ มันไม่ได้นะ
เพราะของทุกอย่างมันเกิดแล้วดับหมด
ไม่ได้จริงๆ หรอก
แค่ประสบกับสิ่งที่ตั้งว่า
ตัวเองตั้งไว้ว่าพอใจ
ก็เกิดความยินดีขึ้น
พอประสบกับสิ่งที่ไม่พอใจ
ก็เลยยินร้าย มีแค่นั้นน่ะ
.
เพราะฉะนั้นถ้าเรารู้อย่างนี้
จะละยินดียินร้ายง่ายนิดเดียว
“ละยินดียินร้าย ก็ไม่ต้องตั้งมันเสีย”
ให้รู้ความจริงของสิ่งเหล่านั้น
เกิดแล้วก็ดับไป บังคับมันไม่ได้
มันเป็นอนัตตา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา
ไม่ใช่ตัวตนของเรา
แค่นี้สบายแล้ว เห็นยัง
.
อันนี้ภูมิปัญญา ...
ปัญญาวิมุตติน่ะ ง่ายไหมล่ะ
แต่ไม่มีคนเอาออกมาพูด
มันเลยดูเป็นเรื่องยาก เรื่องวุ่นวายหมด
ต้องไปทำนั่นทำนี่ สารพัดทำเลย
.
จริงๆ ถ้ารู้แค่นี้
ไอ้ที่ไปตั้งไว้ทั้งหมด
ก็คือสมมติในใจนั่นเอง
กฎเกณฑ์ในใจ
สร้างภาพ สร้างกฎเกณฑ์
ไว้ในใจตัวเอง ก็คือตัวสมมติเกิดนั่นเอง
.
ถ้าเข้าใจแล้วว่ามันเป็นสมมติ
สมมติความตั้งอันนี้
มันไม่มีอยู่จริงนะ
มันเกิดดับตามขันธ์ ๕ หมด
.
ความคิดมันเกิดแล้วก็ดับไป
...แต่ความเห็นผิดว่าเป็นของกูตัวกู
กูตั้งไว้อย่างนี้ กูต้องพยายาม
จะให้มันอยู่อย่างนี้ มันเลยเป็นทุกข์
.
มันไม่รู้ความจริงว่า
มันไม่มีอยู่จริง สมมติพวกนี้
แค่สมมติอันหนึ่งเฉยๆ
อาศัยมันใช้งานเฉยๆ
ไม่ใช่ไปยึดมั่นถือมั่นกับมัน...
.
พระอาจารย์วิชัย กัมมสุทโธ
บางส่วนจากพระธรรมเทศนา
เรื่อง "ตั้งตนไว้ชอบ"
วันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๕๒
ติดตามฟังฉบับเต็มได้ที่
ภาพ Pinterest

ที่มา  เพจมนษิธาร  Monsitharn

        (บ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา เดิม)

27 ส.ค..68 


 

นั่นแหละ คือ...ที่สุดแห่งทุกข์


พาหิยะ !
เมื่อใดเธอเห็นรูปแล้ว ก็สักแต่ว่า...เห็น
เมื่อใด
เธอได้ยินเสียงแล้ว ก็สักว่า...ฟัง
เมื่อใด
เธอได้กลิ่นแล้ว ก็สักว่า...ดม
เมื่อใด
เธอได้ลิ้มรสแล้ว ก็สักว่า...ลิ้ม
เมื่อใด
เธอได้สัมผัสทางผิวกายแล้ว ก็สักว่า...สัมผัส
เมื่อใด
เธอได้รู้เเจ้งธรรมารมณ์ ก็สักว่า...ได้รู้แจ้งแล้ว
เมื่อนั้น...เธอ จักไม่มี
เมื่อใด เธอ...ไม่มี
เมื่อนั้น...เธอก็ไม่ปรากฏในโลกนี้
ไม่ปรากฏในโลกอื่น...
ไม่ปรากฏในระหว่างแห่งโลกทั้งสอง
นั่นแหละ คือ...ที่สุดแห่งทุกข์
_______________________________________
พระพุทธพจน์ - อุ. ขุ. ๒๕/๘๓/๔๙.
เลิกคบ เลิกเชื่อฟังอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ ตัวตนก็ไม่เกิด เมื่อไม่เกิดตัวตน.....ก็พ้นทุกข์

ที่มา  เพจมนษิธาร  Monsitharn

        (บ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา เดิม)

27 ส.ค..68 


 

ไม่เผลอ ส่งจิตเข้าไปในอารมณ์


การเจริญสติและสัมปชัญญะ
ให้ทำความรู้ตัว
อยู่กับจิตผู้รู้อย่างสบายๆ
ไม่เพ่งจ้อง
หรือควานหา ค้นคว้า
พิจารณาเข้าไปที่จิตผู้รู้
เพียงแค่รู้อยู่เฉยๆ เท่านั้น
ต่อมาเมื่อมีความคิดนึก
ปรุงแต่งอื่นๆ เกิดขึ้น
ก็จะเห็นความเปลี่ยนแปลง
ของอารมณ์ชัดเจน
เช่น เดิมมีความนิ่งว่างอยู่
ต่อมาเกิดคิดถึงคน ๆ หนึ่ง
แล้วเกิดความรู้สึกรัก
หรือชังขึ้นก็ให้สังเกต
รู้ความรักความชังนั้น
และเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกรู้เท่านั้น
ตัวจิตผู้รู้มีอยู่ต่างหาก
ให้รู้ตัวไปเรื่อยๆ
สิ่งใดเป็นอารมณ์ ปรากฏขึ้นกับจิต
ก็ให้มีสติรู้อารมณ์ที่กำลังปรากฏนั้น
ในขณะเดียวกัน
ก็ต้องไม่เผลอ
ส่งจิตเข้าไปในอารมณ์นั้น
ตรงที่จิตไม่เผลอ
ส่งออกไปนั้นเอง
คือความรู้ตัวหรือสัมปชัญญะ

หลวงปู่ดุลย์ อตุโล
วัดบูรพาราม จ.สุรินทร์
ภาพ Pinterest

ที่มา  เพจมนษิธาร  Monsitharn

        (บ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา เดิม)

27 ส.ค..68 


 

เราปฎิบัติมา เพื่อ ไม่เป็นทาสสิ่งใดๆ


เมื่อใดก็ตามที่เรายึดสิ่งต่างๆ ว่าเป็นเรา
เราจะมีความคาดหวังดังกล่าวลึกๆ อยู่ในใจ
.
เมื่อยึดว่าร่างกายนี้เป็นของเรา.....
เราก็จะมีความคาดหวังว่าร่างกายนี้
จะเจ็บป่วยไม่ได้ จะแก่ไม่ได้
ฉะนั้น เมื่อเกิดเจ็บป่วยขึ้นมา
หรือเห็นผิวเหี่ยวย่นผมหงอก
เราจะทุกข์ทันที เพราะว่ามันสวนทาง
กับความคาดหวังหรือความยึดติดของเรา
.
ความคิดของเรา ความรู้ของเรา
อ่านหนังสือมาก็ยึด
ว่าเรารู้ เราเข้าใจ เราเข้าถึง
อารมณ์ความรู้สึกว่าเป็นเรา
ต้องอย่างนู้นอย่างนั้น
แม้นหลักทฤษฎีที่รู้มา
และ การปฎิบัติที่เคยมีมา
มันเป็นแค่อากาศ
เป็นพลังงานสะสมหรือโปรแกรม
.
พยายามจะเฝ้าทรงรักษา
หรือ หาคำตอบ ทั้งชีวิต
มันไม่สามารถหลุดพ้นหรือผ่านสิ่งเหล่านี้
ก็จะหาคำตอบ ทรงรักษา
สืบต่อไป สู่ชาติต่อไป ต่อๆไป
.
ไม่เจอนิพพานหรอก
ใจไม่หยุดหา ตัณหาพาไป
จะดีกว่านี้
ใจเป็นผู้พาไปเกิดตายมานับไม่ถ้วนเลย
.
ลองรู้ เฉยๆ แต่ไม่ยึดเอาเนื้อหา
ผ่านมาผ่านไป
เหมือนลมหายใจ
ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข มันเป็นเช่นนั้นเอง
.
เราปฎิบัติมา เพื่อ ไม่เป็นทาสสิ่งใดๆ
ในรูปนี้ นามนี้
แต่เช็คดู ตอนนี้เราไปยึดอะไรเป็นเรา
มันย้อนกับธรรมที่เราเข้าใจไหม
คำว่า
สักแต่ว่าเห็น สักแต่ว่าได้ยิน
สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าคิด
นั้นไม่มีใครเป็นเจ้าของอะไรเลยนะ
จึง ไม่มียาก และ ง่าย
รู้สึก เป็น เพียงแค่ความรู้สึก
ที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของความรู้สึกนั้น

พระอาจารย์ปกรณ์นันทน์ ฐิตธัมโม
ภาพ Pinterest

ที่มา  เพจมนษิธาร  Monsitharn

        (บ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา เดิม)

27 ส.ค..68 

 

ศัตรูที่ร้ายกาจที่สุด คือการยึดติดกับตัวตน


คัมภีร์พุทธศาสนามิได้กล่าวเกินจริง
เมื่อพูดถึงว่าศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดของเรา
คือการยึดติดกับตัวตน ทำไมน่ะหรือ?
เพราะเราตกอยู่ในสภาวะ
ที่จิตใจไม่สามารถสัมผัสกับความว่าง
อันเป็นคุณสมบัติสำคัญยิ่ง
ของจิตเองได้ตรงๆ เลย
ขณะที่กลับสร้างตัวตน
ที่ต้องเป็นภาระขึ้นมา
โดยเหตุนี้เราจึงเกิดความต้องการ
และความปรารถนาทุกสิ่งอย่าง
ที่ต้องตอบสนองให้ได้
เพื่อรักษาตัวตนนั้นเอาไว้
ความทุกข์จึงเกิดขึ้น
จากการแสวงหาอย่างไม่สิ้นสุด
เพื่อตอบสนอง
สิ่งที่ไม่อาจตอบสนองได้หมด
เพราะเมื่อ “ฉัน” เกิดขึ้น ก็นำไปสู่ ​​“ฉันเป็น”
ไปสู่ ​​“ฉันต้องการ” และอื่นๆ
ท่านคาลู รินโปเช
"Buddhist texts do not exaggerate
when they say that our greatest enemy
is clinging to a self. Why?
We are caught in a situation
where mind is incapable
of directly experiencing
its own essential emptiness,
and instead posits a self
that must be sustained.
We thus develop all the needs and wants
that must be gratified
in order to maintain such a self.
Suffering comes from the endless search
to satisfy what cannot be satisfied.
"I" leads to "I am" which leads to "I want"
and so on."
🧡
~ Kalu Rinpoche

ที่มา  เพจมนษิธาร  Monsitharn

        (บ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา เดิม)

27 ส.ค..68 


 

ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอารมณ์สมาธิ


การฝึกสมาธินี่ ฝึกสติลูกเดียว เรื่องชีวิตประจำวันนี่มี
ยืน เดิน นั่ง นอน ดื่ม ทำ พูด คิด ฝึกสติให้ตามรู้สิ่งเหล่านี้ทุกขณะจิต
ทุกลมหายใจ ไม่ต้องไปนั่งสมาธิให้เสียเวลาทำงาน
เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอารมณ์สมาธิทั้งนั้น
.
"หลักก็อยู่ตรงที่ว่า เราทำก็ให้มีสติ พูดให้มีสติ
คิดให้มีสติ รับประทาน ดื่ม ทำอะไรต่างๆ ให้มีสติ เป็นสมาธิทั้งสิ้น"
.
นอนลงไป จิตมันคิดอะไร ถ้าจิตมันอยู่ว่างๆ ปล่อยให้มันว่างไป
ถ้ามันคิดปล่อยให้มันคิดไป ปล่อยให้คิดไปเลย อย่าไปห้ามมัน
.
ถ้าสมมุติว่าเราสงสัยว่าปัญหานี้เราจะแก้อย่างไร
พอมันเกิดความคิดขึ้นมาอย่างนี้ มันเกิดมีปัญหาถามตัวเองว่า เราจะแก้อย่างไร
ทิ้งมันไว้นั่น อย่าไปคิดหาทางแก้ แต่เมื่อนอนลงไปแล้ว
จิตมันคิดอะไร ปล่อยๆๆๆ ไป พอไปถึงจังหวะที่มันจะแก้ได้
มันหยุดกึ๊กลง ว่าง พอไหวตัวพั๊บ
อ้อ! สิ่งนี้ต้องทำอย่างนี้
.
เรื่องชีวิตประจำวันทั้งหมดนี่เป็นอารมณ์สมาธิ
แล้วเราจะปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านี้อย่างไร สติตัวเดียว ทำ พูด คิด ฯลฯ
ให้รู้ตัวอยู่ตลอดเวลา ในตอนแรกๆ อาจจะสับสนวุ่นวาย
แต่เราพยายามฝึกให้คล่องตัวชำนิชำนาญแล้ว มันจะเป็นอัตโนมัติไปหมดเลย
เรื่องได้สมาธิขั้นใด ตอนใด อย่าไปสนใจ เอาสติตัวเดียวเท่านั้น
.
ทำงานอะไรต่างๆ นี้ เป็นอารมณ์สมาธิทั้งนั้น ขอให้เรามีสติลูกเดียว
.
เกร็ดธรรมคำสอน
ท่านเจ้าคุณพระราชสังวรญาณ
(หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)

ภาพ Pinterest

ที่มา  เพจมนษิธาร  Monsitharn

        (บ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา เดิม)

27 ส.ค..68