แล้วเมื่อไรเล่าจะไปเห็น


อันธรรมะของจริงทั้งหลาย
มีพร้อมอยู่ที่ตัวของเรานี้ครบถ้วน
แต่ก็ยังไม่เห็นตามเป็นจริงของมัน
แล้วเมื่อไรเล่าจะไปเห็น
เมื่อไม่เห็น
ตามเป็นจริงของมันอยู่ตราบใด
ก็ได้ชื่อว่า
ยังหลงยืดหลงถือมันอยู่ตราบนั้น
เมื่อยังมีชีวิต
ก็ยังหลงยึดถือมันอยู่
ตายไปแล้ว
ก็ยังยึดถืออยู่ตามเดิม ใครจะมาแก้ให้
หากมาพิจารณา
ให้รู้แจ้งเห็นตามเป็นจริง
เมื่อยังมีชีวิตอยู่นี้ไม่หลงยึดถือแล้ว
เราเองก็เป็นสุข
เพราะอยู่ด้วยความรู้
ความเข้าใจตามเป็นจริง
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
ภาพ the Bridge towards awareness

ที่มา  เพจมนษิธาร  Monsitharn

        (บ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา เดิม)

11 ธ.ค.68 


 

มิใช่เราทำสติให้อัตโนมัติ


เห็น แล้วไม่ปรุง คิด แล้วไม่ปรุง
นั้นมี "เรา" ไม่ปรุงแต่ง
หรือ
เห็นตามความเป็นจริง
ว่าจะปรุง หรือ ไม่ปรุง มันหยุดเอง
มันคิดเอง
จึงรู้ว่าไม่ใช่เรา มันทำหน้าที่เอง
จึงเกิดปัญญา เห็นอัตโนมัติ
ที่ไม่มีเราต้องคอยปล่อยคอยวาง
เราทำได้หรือ ทำไม่ได้ หรือ
หลงไปแล้ว หรือ เราไม่หลง
มิฉะนั้น จะไม่เห็นขั้นตอนที่เรียกว่า
อัตโนมัติ หรือ มหาสติ
สติ ที่อัตโนมัติ
มิใช่เราทำสติให้อัตโนมัติ
พระอาจารย์ปกรณ์นันทน์ ฐิตธัมโม
ภาพ Pinterest

ที่มา  เพจมนษิธาร  Monsitharn

        (บ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา เดิม)

11 ธ.ค.68 


 

ไม่มีอะไรน่าพิศวงไปกว่านี้อีกแล้ว


ไม่มีอะไรน่าพิศวงไปกว่านี้อีกแล้ว
เราเป็นความจริงอยู่โดยตัวเอง
แต่ก็ยังแสวงหาเพื่อให้ได้ความจริงอีก
เราชอบคิดว่ามีอะไรบดบัง
ความจริงของเราไว้
จึงต้องทำลายมันเสียก่อน
ถึงจะได้ความจริงนั้นมา
มันช่างน่าขำ
สักวันเราจะหัวเราะเยาะ
สิ่งที่เราพยายามทำทั้งหมด
เพราะสำหรับสิ่งที่อยู่ตรงนั้นอยู่แล้ว
ที่จะต้องทำมีเพียงตระหนักรู้มันแค่นั้น
There is no greater mystery than this; being Reality ourselves,
we seek to gain Reality. We think that there is something hiding our Reality,
and that it must be destroyed before the Reality is gained. It is ridiculous.
A day will dawn when you will laugh at all your efforts.
That which is always there is to be realized.
Talk with Sri Ramana Maharshi
ภาพ Pinterest

ที่มา  เพจมนษิธาร  Monsitharn

        (บ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา เดิม)

11 ธ.ค.68 


 

หัวใจของ “การปฏิบัติ” ที่สรุปย่อที่สุด


หัวใจของ “การปฏิบัติ” ที่สรุปย่อที่สุด
และควรถือว่าประเสริฐที่สุด
เกี่ยวกับ ความไม่ยึดมั่นถือมั่น
.
…. “ ถ้าท่านถูกชาวต่างประเทศถามว่า
จะปฏิบัติให้ถูกหัวใจพระพุทธศาสนานั้น
จะปฏิบัติอย่างไร?
ก็ตอบโดยอาศัยพระพุทธภาษิตอีกเหมือนกัน เราไม่ต้องเอาความคิดของเราไปตอบ.
…. พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสการปฏิบัติไว้
อย่างสรุปหมดและครบถ้วนนี้ว่า
เมื่อเห็นรูปด้วยตา ก็สักว่าดู,
เมื่อได้ฟังเสียงทางหูนี้ ก็สักว่าได้ยิน,
เมื่อได้กลิ่นทางจมูกนี้ ก็สักว่าได้ดม,
เมื่อได้ลิ้มรสทางลิ้นนี้ ก็สักว่าได้ชิม,
เมื่อได้สัมผัสทางผิวหนังผิวกายทั่วๆไปนี้
ก็สักว่าได้กระทบ,
และเมื่ออารมณ์ เช่นเรื่องเศร้า เป็นต้น
ได้เกิดขึ้นในจิตก็ให้เป็นสักว่ารู้
รู้ว่าอารมณ์เศร้า.
…. ขอทบทวนสำหรับท่านที่ยังไม่เคยฟังว่า
เห็นสักว่าดู เมื่อรูปมากระทบตา
ก็ดูให้รู้ว่าเป็นอย่างไร
และเราควรจะทำอย่างไรกับเรื่องนั้นๆ
กับสิ่งที่ได้เห็นนี้ แต่อย่าไปเกิดรัก
หรือไปเกิดเกลียดเข้า
ถ้าไปเกิดรักก็อยากได้
ไปเกิดเกลียดก็อยากฆ่าให้ตาย
อย่างนี้มันก็มีผู้รักและผู้เกลียด
นี่เรียกว่า“ตัวตน”
ถ้าปล่อยไปในทางเป็นตัวตนอย่างนี้
ก็เป็นทุกข์และผิด.
…. ถ้าได้เห็นรูปแล้วให้มีสติปัญญา
มีสติสัมปชัญญะ อย่ามีกิเลสยึดถือ
มีสติปัญญารู้ว่าสิ่งที่เห็นนี้จะต้องทำอย่างไร
ก็ทำไปในทางที่ถูกที่ควร
หรือถ้าไม่ต้องทำอะไรก็เฉยเสีย
หากต้องการผลจากสิ่งนี้อย่างไร
ก็ทำไปด้วยสติ สัมปชัญญะ ด้วยสติปัญญา
อย่าปรุงเป็น“ตัวตน”ขึ้นมา
อย่างนี้ไม่มีความทุกข์ด้วย
และก็ได้ผลตามที่ต้องการด้วย.
…. นี่หลักปฏิบัติที่สรุปย่อที่สุด
และควรถือว่าประเสริฐที่สุด กล่าวคือสอนว่า
เห็นสักว่าเห็น ได้ยินสักว่าได้ยิน
ได้กลิ่นสักว่าได้กลิ่น ได้ลิ้มสักว่าได้ลิ้ม
ได้สัมผัสสักว่าได้สัมผัส
ได้รู้สึกในใจสักว่าได้รู้สึกในใจ
ให้หยุดอยู่เพียงเท่านั้น
แล้วสติปัญญามาทันที
แล้วจัดการไปตามที่ถูกที่ควร
ไม่เกิดมี “ผู้รัก” หรือ “ผู้เกลียด” ขึ้น
ถ้าอย่างกระทำไปตามความรัก
หรือความเกลียด อย่างนี้เรียกว่า “ตัวตน”
จิตนี้วุ่นวายแล้ว ไม่ว่าง
ไม่ประกอบด้วยสติปัญญาเสียแล้ว.
…. นี้เป็นภาษิตที่ตรัสแก่ พระพาหิยะทารุจิยะ
มัชฌิมนิกาย แพร่หลายมาก
นี่คือสรุปสั้นๆว่า “ปฏิบัติอย่างไร?”
ท่านพุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยาย หัวข้อเรื่อง “พระพุทธเจ้าสอนอะไร
หลักธรรมสำหรับนักศึกษาและปัญญาชน”
Cr. ธรรมะเพื่อทางพ้นทุกข์
โดย ท. ส. ปัญญาวุฑโฒ
ภาพ Pinterest

ที่มา  เพจมนษิธาร  Monsitharn

        (บ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา เดิม)

11 ธ.ค.68 


 

งานสำคัญของพวกเราก็คืองานดับทุกข์


” การลงทุนที่ดีที่สุด “
งานสำคัญของพวกเราก็คืองานดับทุกข์
เพราะการได้มาเกิดเป็นมนุษย์นี้
เป็นโอกาสที่ดีที่สุด
ภพของมนุษย์นี้เปรียบเหมือนเพชรนิลจินดา
ที่มีคุณค่ามาก เราจึงไม่ควรเอา
เพชรนิลจินดาไปแลกกับก้อนหินก้อนกรวด
ควรจะเอาไปแลกกับสิ่งที่มีคุณค่า
พอๆ กันหรือดีกว่า
สิ่งเดียวที่ดีกว่าหรือพอๆ กัน
ก็คือมรรคผลนิพพาน
ส่วนลาภยศสรรเสริญสุขนี้
เป็นเหมือนก้อนหินก้อนกรวด
ที่ไม่มีคุณค่าทางจิตใจ
แต่กลับจะทำให้จิตใจมีความทุกข์มากขึ้น
ไม่ได้มีน้อยลงไป
ความสุขที่ได้ไม่คุ้มกับความทุกข์ที่ได้มา
ถ้าอยากเป็นนักลงทุนที่ฉลาด
ก็ต้องเลือกหุ้นที่ให้ผลตอบแทนดี
ให้เงินปันผลดี มีคุณค่าเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ
จึงจะเป็นการลงทุนที่กำไร
ชีวิตของเราก็เป็นอย่างนั้น
ถ้าเราให้เวลากับสิ่งที่มีคุณค่าทางจิตใจ
ก็จะเป็นการลงทุนที่ดีที่สุด
ถ้าให้เวลากับสิ่งที่ให้ความทุกข์ให้โทษกับจิตใจ
ทำให้จิตใจเสื่อมลงต่ำลง
ทำให้จิตใจเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพต่างๆ
ก็จะเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่า
กับภพชาติของมนุษย์ ภพชาติของมนุษย์นี้
เหมาะกับการประพฤติปฏิบัติธรรม
การบำเพ็ญเพื่อหลุดพ้นจากความทุกข์
เพื่อมรรคผลนิพพาน...
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
จุลธรรมนำใจ ๑๗ กัณฑ์ที่ ๓๙๘
วันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๒
ภาพ Pinterest

ที่มา  เพจมนษิธาร  Monsitharn

        (บ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา เดิม)

11 ธ.ค.68 


 

ความจริงก็จะพุ่งเข้ามา


หน้าต่างคือความว่างเปล่าไร้ผนัง
ให้ทั้งอากาศและแสงสว่าง เพราะมันว่าง
จงว่างจากสิ่งที่อยู่ในจิตใจทั้งปวง
จากความเพ้อฝัน และความคิด อารมณ์
เมื่อไร้ซึ่งอุปสรรคดังกล่าว
ความจริงก็จะพุ่งเข้ามา
The window is the absence of the wall,
and it gives air and light because it is empty.
Be empty of all mental content, of all imagination and effort
and the very absence of obstacles will cause reality to rush in.
Nisargadatta Maharaj
ภาพ Pinterest

ที่มา  เพจมนษิธาร  Monsitharn

        (บ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา เดิม)

11 ธ.ค.68 


 

เราหาความสุขผิดที่


ลึกๆ มนุษย์เราต้องการ
ความสุขที่มั่นคงแน่วแน่
ความสุขที่ไว้ใจได้ ที่ไม่มีวันเสื่อม
ปัญหาคือเราแสวงหาความสุข
ที่เที่ยงแท้ถาวรนั้นในสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้ถาวร
คือ รูป เสียง กลิ่น รส การสัมผัสทางกาย
และความรู้สึกนึกคิดต่างๆ
สิ่งเหล่านี้มีความแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไป
ตลอดเวลาเป็นธรรมดา
แม้แต่เครื่องรับสิ่งเหล่านี้ คือ
ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ก็แปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลาเป็นธรรมดา
สรุปว่าเราหาความสุขผิดที่
ความทุกข์ ความคับข้องใจต่างๆ
ที่เกิดในระหว่างการแสวงหาความสุข
อย่างขาดปัญญาคือ ทุกขะ อริยสัจที่ ๑
พระอาจารย์ชยสาโรภิกขุ
ภาพ Pinterest

ที่มา  เพจมนษิธาร  Monsitharn

        (บ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา เดิม)

11 ธ.ค.68