เราจะเชื่อกิเลสตัณหาอาสวะ
หรือจะเชื่อพระพุทธเจ้า?
อันนี้ๆ เป็นตัวตนหมด
.
รูปก็เป็นตน เวทนาก็เป็นตน สัญญาเป็นตน
สังขารเป็นตน วิญญาณเป็นตน อะไรๆ เป็นตน
ทั่วโลกสงสารเป็นตน เป็นของตนหมดสิ้น
.
พอสิ่งเหล่านั้นเปลี่ยนแปลงยักย้ายไปหน่อย
ใจหายไปเลย เป็นทุกข์ขึ้นมา
แบบไม่มีสติสตังประคองตัว
ฉะนั้นเครื่องก่อกวนเครื่องทําลาย
จึงเกิดขึ้นจากความสําคัญของจิต
ด้วยความลุ่มหลงว่าอันนั้นเป็นเรา
อันนี้เป็นของเรา
.
อะไรๆ เปลี่ยนแปลงไปเล็กๆ น้อยๆ
จึงเป็นเหมือนสิ่งนั้นมาฟันหัวใจเรา
ให้ขาดสะบั้นไปด้วยกัน
เป็นทุกข์ด้วยกันไปหมด
หาที่ปลงวางไม่ได้
.
ธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไม่เป็นเช่นนั้น
กลับทวนกระแสโลกที่ยึดถือกัน!
เช่น “รูปํ อนิจฺจํ รูปํ อนตฺตา” ว่า
“นี้เป็น อนิจฺจํ เป็นของไม่เที่ยง”
พอเราจะอาศัยได้บ้างเท่านั้น
“อนตฺตา” ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา”
.
ทรงสอนให้ทราบว่า “ไม่ใช่ของใครทั้งนั้น” !
เป็นแต่สภาพของส่วนต่างๆ
ที่รวมกันอยู่ตามธรรมชาติของเขาเท่านั้น”
.
เวทนาก็เช่นเดียวกัน
เป็นธรรมชาติกลางๆ
ถ้าเราไม่ไปหลงเสียเท่านั้น
ก็ไม่เกิดปัญหายุ่งยาก
.
สังขาร วิญญาณ ก็เหมือนกัน
เป็นธรรมกลางๆ
ขอให้พิจารณาให้เห็นตามความเป็นจริง
จิตก็เป็นกลางได้
.
เมื่อจิตเป็นกลางจิตก็เป็นความจริงขึ้นมา
เมื่อจิตเป็นความจริง สิ่งนั้นก็เป็นความจริง
เพราะสิ่งเหล่านั้นเป็นความจริงมาแล้วแต่ดั้งเดิม
เป็นเพียงใจหลงไปสําคัญมั่นหมายเท่านั้น
.
เหล่านี้คือหลักธรรมที่สอนให้รู้ทุกสิ่ง
จนปล่อยวางได้
ใจก็เป็นกลาง คือเห็นตามความจริง
.....................
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
ที่มาส่วนหนึ่งจาก หลวงตามหาบัว
ธรรมะชุดเตรียมพร้อม
"ไม่มีอะไรตาย"
เทศน์โปรดคุณเพาพงา วรรธนะกุล
ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๗ มกราคม ๒๕๑๙
ภาพ Pinterest
ที่มา : เพจมนษิธาร Monsitharn
(บ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา เดิม)
15 ก.ย..68

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น