รู้ทุกข์เมื่อไหร่ สมุทัยถูกละเมื่อนั้น




อวิชชาคือความไม่รู้ทุกข์นั่นเอง คือไม่รู้ว่ากายกับใจมันเป็นตัวทุกข์
เราไปคิดว่ากายกับใจเป็นตัวเรา เป็นตัวดีตัววิเศษ
แต่ว่าถ้าเรามาเจริญสติรู้กาย เจริญสติรู้ใจ เรารู้มากเข้ามากเข้า
จะเห็นเลยว่าทั้งกายทั้งใจนี่ เป็นตัวทุกข์ล้วนๆ นะ
พอมันเห็นกายเห็นใจเป็นทุกข์แจ่มแจ้งปุ๊บ 
สมุทัยจะเป็นอันถูกละอัตโนมัติเลย
ฉะนั้นรู้ทุกข์เมื่อไหร่ สมุทัยถูกละเมื่อนั้น จำไว้นะ


หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช

ที่มา  : เพจบ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา

จิตตั้งมั่นในปัจจุบัน ย่อมเกิดปัญญาพิเศษ




เมื่อลมไม่พัด แสงไฟก็ย่อมสว่างไสว 
ถ้าลมพัด ไฟนั้นก็จะสว่างเป็นที่ๆ ไป 
เปรียบได้กับจิตที่ตั้งเที่ยง ไม่เอียงไปตามสัญญาอดีต อนาคต
ตั้งมั่นอยู่แต่ในปัจจุบัน ก็ย่อมจะเกิดแสงสว่าง 
เกิดปัญญาพิเศษขึ้น 
ปัญญาพิเศษนี้ไม่มีครูบาอาจารย์มาสอนให้เกิดขึ้นได้
จะต้องปฏิบัติเอง ให้เกิดการรู้แจ้งเห็นจริงด้วยตนเอง


ท่านพ่อลี ธัมมธโร

ที่มา  : เพจบ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา

สังเกตการณ์อยู่บ่อยๆ คือทำความเพียร




..ให้ดูภายใน จะดูลมหายใจ นี่ก็คือดูธาตุสี่ 
ให้มีสติที่ประกอบด้วยสัมปชัญญะ คือรู้ตัว 
สติกับรู้ หรือ สติกับใจ จะว่าเป็นอันเดียวกันก็ได้ 
ถ้าไม่มีสติก็คือไม่มีรู้..
ส่วนคำว่า “ตัว” ก็คือ รูป ร่างกายนี้ ...
ตัวธาตุสี่นี้ ให้รู้ที่มันนี่แหละ 
ถ้าศึกษาบ่อยๆ แล้วๆ เล่าๆ ซ้ำๆ ซากๆ 
มันจะกลับเข้ามากินอารมณ์ภายในเอง 
ไม่ว่าจะนั่ง หรือเดินจงกรม นั่งหลับตา หรือลืมตาก็ตาม 
สังเกตการณ์อยู่บ่อยๆ นี่คือทำความเพียร


หลวงพ่อไพฑูรย์ ขันติโก

ที่มา  : เพจบ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา