ไม่มีใครทำจิตให้บรรลุมรรคผลได้หรอก


ไม่มีใครทำจิตให้บรรลุมรรคผลได้หรอก
จิตบรรลุของจิตเอง
เมื่อจิตมีศีล สมาธิ ปัญญาแก่รอบ
ปัญญาแก่รอบคือเห็นอริยสัจนั่นล่ะ
เห็นอริยสัจก็คืออะไร
เห็นขันธ์ 5 นี้คือตัวทุกข์
ถ้าเห็นอย่างนี้ จิตก็ไม่หยิบฉวยขันธ์ 5 ขึ้นมา
ไม่มีการปล่อยวาง
ไม่ได้เกิดการปล่อยวางอะไรทั้งสิ้นเลย
.
จิตมันไม่ไปหยิบฉวยภาระขึ้นมา
ก็ไม่ต้องปล่อย
ไม่หยิบก็ไม่ต้องปล่อย
ถ้าหยิบก็ยังต้องปล่อย
ที่หยิบเพราะอะไร
เพราะโง่ ไม่เห็นอริยสัจ
ไม่รู้ทุกข์แจ่มแจ้งก็หยิบขึ้นมา
เดี๋ยวพอดูไปๆ
มันเป็นไตรลักษณ์ก็ปล่อย เดี๋ยวก็หยิบอีก
.
เพราะฉะนั้นอยากปล่อยเด็ดขาด
ไม่ใช่หาทางปล่อย ไม่ใช่ฝึกจิตให้ว่าง
ฝึกจิตให้ว่างก็คือความปรุงแต่ง
เรียกอเนญชาภิสังขาร
ความปรุงแต่งมี 3 แบบ
ปรุงชั่วเรียกอปุญญาภิสังขาร
ปรุงดีเรียกปุญญาภิสังขาร
พยายามจะไม่ปรุงเรียกอเนญชาภิสังขาร
อย่างพยายามทำจิตว่างๆ
อันนี้เป็นอเนญชาภิสังขาร
.
จะพ้นสังขารได้ต้องทำลายอวิชชา
เรียนรู้ลงมาที่กาย เรียนรู้ลงมาที่จิตใจ
เรียนรู้จนเห็นว่าจริงๆ
กายนี้คือตัวทุกข์ จิตนี้คือตัวทุกข์
แล้วเขาวางของเขาเอง
ที่เขาวางของเขาเอง
เพราะเขาไม่หยิบฉวยขึ้นมา
การวางอันนี้ไม่เหมือนเวลาที่เราปฏิบัติ
เรายึดแล้วปล่อย ยึดแล้วปล่อย
แต่ตรงที่จิตรู้แจ้งแทงตลอด
มันวางในขณะที่รู้แจ้งแทงตลอดเลย
ในขณะจิตนั้นเลย
เพราะฉะนั้นรู้ทุกข์เมื่อไร
ก็ละสมุทัยเมื่อนั้น
ละสมุทัยเมื่อไร
ก็แจ้งนิโรธเมื่อนั้น
แจ้งนิโรธเมื่อไร
มรรคก็เจริญขึ้นเมื่อนั้น
.
อันแรกเลย การปฏิบัติยากหรือง่าย
การปฏิบัติจะยากหรือง่าย
อยู่ที่ตัวเราเองต่างหาก
ถ้าเราสะสมมาน้อยมันก็ยาก
ถ้าทำมาเยอะแล้วมันก็ง่าย
เพราะฉะนั้นการปฏิบัติจะบอกว่าง่ายหรือยาก
อันนั้นยังไม่ชัดเจน พูดยังไม่ครอบคลุม
ฉะนั้นจริงๆ มันไม่ใช่ยาก หรือมันไม่ได้ง่าย
มันอยู่ที่เราสะสมมาได้แค่ไหน
แล้วการปฏิบัติก็ไม่มีอะไรหรอก
เรียนรู้กาย เรียนรู้ใจของตัวเองไป
แล้วเรียนไปตามลำดับ ตามขั้นตามตอนไป
.
อย่างเราภาวนาไม่ต้องไปคิดหรอก
ว่าทำอย่างไรจะปล่อยวางจิตได้
ก็ปล่อยวางกายยังไม่ได้เลย
จะไปปล่อยวางจิตได้อย่างไร
หรือยังละสักกายทิฏฐิ
ละความเห็นผิดว่าตัวเรามีอยู่
ละตัวนี้ไม่ได้
ยังไม่ต้องไปพูดเรื่อง
การปล่อยวางร่างกายหรอก
เรายังหลงผิดว่าเรายังมีตัวเราอยู่เลย
.
เพราะฉะนั้นสู้ไปตามลำดับ
เป้าหมายแรกที่เราต้องสู้
สู้กับความเห็นผิดของตัวเอง
ที่ว่าตัวเรามีอยู่จริงๆ
สิ่งที่เรียกว่าตัวเรา
ก็คือรูปนาม คือกาย คือใจ คือขันธ์ 5 นั่นเอง
เรียนรู้ลงที่กายแล้วก็เห็น
ร่างกายก็ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์
ไม่มีตัวตนถาวร
สุขทุกข์ ดีชั่ว หรือกระทั่งตัวจิต
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ ก็ไม่มีตัวตนถาวร
เอาตรงนี้ก่อน ไม่ต้องข้ามขั้นไปถึงว่า
ทำอย่างไรจะปล่อยวางร่างกายได้
ทำอย่างไรจะปล่อยวางจิตได้เด็ดขาด
เรียกสู้ไปตามลำดับ
.
ถ้าอยู่ๆ กระโดดเลย ปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่าง
มีวิธีอันหนึ่งก็คือทำจิตให้ว่าง
ทำจิตให้ว่างก็เหมือนกับไม่ได้ยึดถืออะไรเลย
แต่จริงๆ คือยึดถือจิตที่ว่างนั่นล่ะ
เพราะฉะนั้นเรียนอย่าข้ามขั้น
ทำไปเรื่อยๆ ไม่ต้องรีบร้อน
บรรลุเมื่อไรไม่ใช่หน้าที่ของเรา
หน้าที่ของเราทำเหตุ
เจริญสติเจริญปัญญาเรื่อยไป
.
ถ้าเหตุสมบูรณ์แล้วผลมันก็มาเอง
รู้ทุกข์แจ่มแจ้งเมื่อไร มันก็ละสมุทัย
มันก็เข้าถึงพระนิพพานในขณะเดียวเลย
เกิดขึ้นพร้อมๆ กันเลย
ฉะนั้นค่อยๆ ฝึก ไม่ต้องรีบร้อนหรอก
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
ภาพ Pinterest

ที่มา  เพจมนษิธาร  Monsitharn

        (บ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา เดิม)

15 ต.ค.68 


 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น