ถ้าหากว่าเราระลึกชาติหนหลังได้ เราก็จะรู้ได้ว่าชีวิตนี้ท่องเที่ยว
เกิด แก่ เจ็บ ตาย มาในวัฏสงสารนี้คณนานับชาติไม่ถ้วนเลย
.
มันครอบงำจิตไว้ทำให้จิตนั้นมืดมน นึกว่ามันไม่มีทางออกจากโลกอันนี้ มีเท่านี้
จิตดวงนี้ก็เลยข้องอยู่ เลยเกาะโลกอันนี้เป็นที่พึ่งไป
ก็ได้รับความเดือดร้อนไปดังที่เราเป็นอยู่ในปัจจุบันนี้แหละ
.
เอ้า บางคนมีร่างกายสมบูรณ์ดี โรคภัยไม่ค่อยเบียดเบียน
#แต่โรคคือกิเลสก็เบียดเบียนจิตใจ ทำให้เกิดความอยากได้อะไรต่ออะไรไม่มีสิ้นสุด
ไม่มีเวลาพอ นั่นก็เป็นทุกข์ใจ ย่อมดิ้นรนแสวงหา
ถ้าไม่ทุกข์กายก็ทุกข์ใจอย่างที่ว่านี้แหละเว้นเสียแต่
ท่านผู้รู้สัจธรรมของจริงเท่านั้น
.
ท่านบำบัดโรคทางจิต คือ กิเลส ให้น้อยเบาบางหรือสงบลงไป
แล้วเมื่อจิตไม่เป็นทุกข์เสียแล้วก็ไม่มีใครเป็นทุกข์แล้วร่างกายอันนี้มันไม่ว่าอะไร
ถ้าจิตสงบลงไปแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นปกติหมดไม่มีใครมาบ่นทุกข์บ่นยากอะไรเลยก็ลองทำดู
.
แต่เมื่อจิตยังไม่สงบนั้น มันมีผู้เป็นทุกข์ ผู้เป็นสุข ผู้เดือดร้อน มันมีอยู่
นั่นไง ก็คือจิตนี้เองเป็นผู้เดือดร้อน เนื่องจากไม่มีที่พึ่งพิงอาศัยอันแข็งแรง
จิตจึงได้เร่ร่อนพเนจรไปทั่วหาที่พึ่งที่อาศัย ถ้าส่งจิตออกไปข้างนอกเท่าไรนั้น
แทนที่จะได้ที่พึ่งอันประเสริฐไม่มีทาง มีแต่ความเดือดร้อน
เพราะทุกสิ่งในโลกนี้ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน #จะไปพึ่งสิ่งใดก็ไม่ได้
.
พระสุธรรมคณาจารย์
(หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ)
วัดอรัญบรรพต อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
ภาพ Pinterest
ที่มา : เพจมนษิธาร Monsitharn
(บ้านจตุรทวีปประทาน เพื่องานพระศาสนา เดิม)
18 ก.ย..68

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น